๗. สัมมสสูตรที่ ๒
[๒๖๓] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤค
ทายวัน เขตพระนครพาราณสี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิตะออกจากที่พักผ่อน
เข้าไปหาพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึก
ถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๖๔] ท่านพระมหาโกฏฐิตะนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสารีบุตรว่า
ท่านสารีบุตร ชราและมรณะ ตนทำเอง ผู้อื่นทำให้ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำให้ หรือว่า ชรา
และมรณะบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเองผู้อื่นไม่ได้ทำให้ ฯ
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านโกฏฐิตะ ชราและมรณะ ตนทำเองก็ไม่ใช่ ผู้อื่นทำให้
ก็ไม่ใช่ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้
ก็ไม่ใช่ แต่ว่าเพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ฯ
โก. ท่านสารีบุตร ชาติ ตนทำเอง ผู้อื่นทำให้ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำให้ หรือว่าชาติ
บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ ฯ
สา. ท่านโกฏฐิตะ ชาติ ตนทำเองก็ไม่ใช่ ผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ ทั้งตนทำเอง ทั้งผู้อื่น
ทำให้ก็ไม่ใช่ ชาติบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ก็ไม่ใช่ แต่เพราะภพ
เป็นปัจจัยจึงมีชาติ ฯ
โก. ท่านสารีบุตร ภพตนทำเอง ฯลฯ อุปาทานตนทำเอง ... ตัณหาตนทำเอง ...
เวทนาตนทำเอง ... ผัสสะตนทำเอง ... สฬายตนะตนทำเอง ... นามรูปตนทำเอง ผู้อื่นทำให้
ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำให้ หรือว่านามรูปบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ ฯ
สา. ท่านโกฏฐิตะ นามรูปตนทำเองก็ไม่ใช่ ผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่น
ทำให้ก็ไม่ใช่ นามรูปบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ ก็ไม่ใช่ แต่เพราะ
วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ฯ
โก. ท่านสารีบุตร วิญญาณตนทำเอง ผู้อื่นทำให้ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำให้ หรือว่า
วิญญาณบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ ฯ
สา. ท่านโกฏฐิตะ วิญญาณตนทำเองก็ไม่ใช่ ผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำ
ให้ก็ไม่ใช่ วิญญาณบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ ก็ไม่ใช่ แต่เพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯ
[๒๖๕] โก. เราทั้งหลายเพิ่งรู้ชัดภาษิตของท่านสารีบุตรในบัดนี้เองอย่างนี้ว่า ท่าน
โกฏฐิตะ นามรูปตนทำเองก็ไม่ใช่ ผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ ทั้งตนทำเองทั้งผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ บังเกิด
ขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำให้ก็ไม่ใช่ แต่เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ฯ
อนึ่ง เราทั้งหลายรู้ชัดภาษิตของท่านสารีบุตรในบัดนี้เอง อย่างนี้ว่า ท่านโกฏฐิตะ
วิญญาณตนทำเองก็ไม่ใช่ ผู้อื่นทำให้ก็ไม่ใช่ บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยตนไม่ได้ทำเอง ผู้อื่นไม่ได้ทำ
ให้ก็ไม่ใช่ แต่เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯ
ท่านสารีบุตร ก็เนื้อความของภาษิตนี้ เราทั้งหลายจะพึงเห็นได้อย่างไร ฯ
[๒๖๖] สา. ดูกรอาวุโส ถ้าเช่นนั้น ผมจักเปรียบให้ท่านฟัง ในโลกนี้ บุรุษผู้ฉลาด
บางพวกย่อมรู้ชัดเนื้อความของภาษิตได้ แม้ด้วยอุปมา ฯ
อาวุโส ไม้อ้อ ๒ กำ พึงตั้งอยู่ได้เพราะต่างอาศัยซึ่งกันและกันฉันใด เพราะนามรูปเป็น
ปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี
สฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ฯลฯความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฉันนั้นแล ฯ
ถ้าไม้อ้อ ๒ กำนั้น พึงเอาออกเสียกำหนึ่ง อีกกำหนึ่งก็ล้มไป ถ้าดึงอีกกำหนึ่งออก
อีกกำหนึ่งก็ล้มไป ฉันใด เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ>>ผัสสะจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ฉันนั้นแล ฯ
[๒๖๗] โก. น่าอัศจรรย์ ท่านสารีบุตร ไม่เคยมีมา ท่านสารีบุตรเท่าที่ท่านสารีบุตร
กล่าวนี้ เป็นอันกล่าวดีแล้ว ก็แลเราทั้งหลายพลอยยินดีสุภาษิตนี้ของท่านสารีบุตรด้วยเรื่อง ๓๖
เรื่องเหล่านี้ ฯ
ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับชราและมรณะ ควร
จะกล่าวว่า ภิกษุธรรมกถึก ฯ
ถ้าภิกษุปฏิบัติ เพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับชราและมรณะควรจะกล่าวว่า
ภิกษุปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ฯ
ถ้าภิกษุหลุดพ้น เพราะความหน่าย เพราะความคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะ
ไม่ถือมั่นชราและมรณะ ควรจะกล่าวว่า ภิกษุบรรลุนิพพานในปัจจุบัน ฯ
ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับชาติ ฯลฯภพ ... อุปาทาน
...>> ตัณหา ... >> ผัสสะ ...>> สฬายตนะ ... >>นามรูป ... >>>>สังขารทั้งหลาย ... >>อวิชชา
ควรจะกล่าวว่า ภิกษุธรรมกถึก ฯ
ถ้าภิกษุปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุ
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ฯ
ถ้าภิกษุหลุดพ้นเพราะความหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะความไม่ถือ
มั่นอวิชชา ควรจะกล่าวว่า ภิกษุบรรลุนิพพานในปัจจุบัน ฯ
จบสูตรที่ ๗
นครสูตร
[๒๕๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ
บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก่อนแต่กาลตรัสรู้ เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ เราได้มีความ
คิดอย่างนี้ว่า โลกนี้ถึงความลำบากหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น
ไม่มีผู้ใดทราบชัดซึ่งธรรมเป็นที่สลัดออกจากกองทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ได้เลย เมื่อไรหนอ
ธรรมเป็นที่สลัดออกไปจากกองทุกข์คือชราและมรณะนี้จึงจักปรากฏ ฯ(พระนิพพาน สัญญาเวทยิตนิโรธ)
[๒๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ ชรา
และมรณะจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น
จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติแลมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและ
มรณะ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอ แลมีอยู่ ชาติจึงมี ... ภพจึงมี ... อุปาทานจึง
มี ... ตัณหาจึงมี ...เวทนาจึงมี ... ผัสสะจึงมี ... สฬายตนะจึงมี ... นามรูปจึงมี
... เพราะอะไรเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี<< >> เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เรานั้นได้ มีความคิดดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอแลมีอยู่ วิญญาณจึงมี เพราะอะไรเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะการใส่ใจโดยแยบ
คายของเรานั้น จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี <<>>เพราะนามรูปเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า วิญญาณนี้แลได้กลับแล้วเพียงเท่านี้ ไม่ไปพ้นจากนามรูปได้
เลยด้วยเหตุเพียงเท่านี้ โลกย่อมเกิด แก่ ตาย จุติและอุบัติ <<จุดวกกลับ ปฏิจจสมุปบาท ที่หลายคนไม่รู้>>
กล่าวคือ เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ<<>> เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย>> จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย >>จึงมีผัสสะ ฯลฯ>>(ชาติ ชรา มรณะ)ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลายจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา
ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิด ดังนี้ ฯ
[๒๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้มีความคิดดังนี้ เมื่ออะไรหนอแลไม่มีอยู่ ชราและ
มรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชราและมรณะจึงดับ เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึง
รู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ
เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี ... ภพจึงไม่มี ... อุปาทาน
จึงไม่มี ... ตัณหาจึงไม่มี ... เวทนาจึงไม่มี ... ผัสสะจึงไม่มี ... สฬายตนะจึงไม่มี ...
นามรูปจึงไม่มี ... เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้นจึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปจึงไม่มีเพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่าเมื่ออะไรหนอแล ไม่มีอยู่ วิญญาณจึงไม่มี เพราะ
อะไรดับ วิญญาณจึงดับเพราะการใส่ใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า
เมื่อนามรูปไม่มีวิญญาณจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เรานั้นได้มีความคิดดังนี้ว่ามรรคนี้เรา
ได้บรรลุแล้วแล ด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้ คือ เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณ
ดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับเพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ฯลฯ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา
วิชชา แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่เคยได้ฟังมาในกาลก่อนว่า เหตุ
ให้ทุกข์ดับ เหตุให้ทุกข์ดับ ดังนี้ ฯ
[๒๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษเมื่อเที่ยวไปในป่าทึบ ได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า
ที่คนก่อนๆ เคยเดินไปมา เขาเดินตามทางนั้นไปเมื่อกำลังเดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลังเดิน
ตามทางนั้นอยู่ พบนครเก่า พบราชธานีโบราณซึ่งสมบูรณ์ด้วยสวน ป่าไม้ สระโบกขรณี
มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ เคยอยู่อาศัยมา ครั้งนั้นแล บุรุษคนนั้นจึงกราบทูลแด่
พระราชาหรือเรียนแก่ราชมหาอำมาตย์ว่า ขอเดชะ พระองค์จงทราบเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเที่ยวไปในป่า ได้พบมรรคาเก่าหนทางเก่าที่คนก่อนๆ เคยเดินไปมา
ข้าพระพุทธเจ้าได้เดินตามทางนั้นไป เมื่อกำลังเดินตามทางนั้นอยู่ได้พบนครเก่า พบราชธานี
โบราณ ซึ่งสมบูรณ์ด้วยสวนป่าไม้ สระโบกขรณี มีเชิงเทิน ล้วนน่ารื่นรมย์ ที่คนก่อนๆ เคย
อยู่อาศัยมาขอพระองค์จงทรงสร้างพระนครนั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า ลำดับนั้น พระราชาหรือ
ราชมหาอำมาตย์ จึงสร้างเมืองนั้นขึ้น สมัยต่อมา เมืองนั้นเป็นเมืองมั่งคั่งและสมบูรณ์ขึ้น มี
ประชาชนเป็นอันมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น และเป็นเมืองถึงความเจริญ ไพบูลย์ แม้ฉันใด ภิกษุ
ทั้งหลาย เราได้พบมรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไป ก็
มรรคาเก่า หนทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปนั้น เป็นไฉน คือมรรคาอัน
ประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐ นี้แล ได้แก่สัมมาทิฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แลมรรคาเก่า หน
ทางเก่า ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ เคยเสด็จไปแล้ว เราก็ได้เดินตามหนทางอัน
ประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันเป็นทางเก่านั้นเมื่อกำลังเดินตามหนทางนั้นไป
ได้รู้ชัดซึ่งชราและมรณะ เหตุเกิดขึ้นแห่งชราและมรณะ ความดับแห่งชราและมรณะ และได้
รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับชราและมรณะ เมื่อเรากำลังเดินตามทางอันประเสริฐซึ่ง
ประกอบด้วยองค์ ๘ประการ อันเป็นทางเก่านั้นไปอยู่ ได้รู้ชัดซึ่งชาติ ฯลฯ ได้รู้ชัดซึ่งภพ ...
ได้รู้ชัดซึ่งอุปาทาน ... ได้รู้ชัดซึ่งตัณหา ... ได้รู้ชัดซึ่งเวทนา ... ได้รู้ชัดซึ่งผัสสะ ... ได้รู้ชัดซึ่ง
สฬายตนะ ... ได้รู้ชัดซึ่งนามรูป ... ได้รู้ชัดซึ่งวิญญาณ ... ได้รู้ชัดซึ่งสังขารทั้งหลาย เหตุเกิด
ขึ้นแห่งสังขาร ความดับแห่งสังขาร และได้รู้ชัดซึ่งปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งสังขาร (อนุปุพวิหารเก้า = รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑)
ครั้นได้รู้ชัดซึ่งทางอันประเสริฐซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ประการนั้นแล้ว เราจึง
ได้บอกแก่พวกภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์ของเราจึง
ได้เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง มีชนเป็นอันมากรู้ เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลายก็ประกาศได้เป็นอย่างดี ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๕
ขอให้ทุกท่าน "เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม" ทุกท่าน ๆ ครับ สาธุ
ตอบลบ