หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อริยบุคคลประเภทต่าง ๆ

 เอกกนิทเทส
    [๑๗] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดยสมัย
แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย
    [๑๘] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในกาลโดยกาลในสมัยโดย
สมัย สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย
ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ
    [๑๙] บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วย
อรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดย
ไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใด ตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็น
ฐานะอยู่แล ที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบได้ เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้
เรียกว่า ผู้มีธรรมอันกำเริบ
    [๒๐] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วย
อรูปฌาน แต่บุคคลนั้น เป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยากเป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก
สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใดได้ตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะ
ไม่เป็นโอกาสที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบเพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้
เรียกว่า ผู้มีธรรมอันไม่กำเริบพระอริยบุคคลแม้ทั้งหมดชื่อว่าผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ ในวิโมกข์
ส่วนที่เป็นอริยะ
[๒๑] บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วย
อรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดย
ไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นานเท่าใดตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็น
ฐานะอยู่แล ที่บุคคลนั้น จะพึงเสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้นได้ เพราะอาศัยความประมาท บุคคล
นี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันเสื่อม
    [๒๒] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วย
อรูปฌาน แต่บุคคลนั้นเป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยากเป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก
สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นานเท่าใดตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะไม่เป็น
โอกาสที่บุคคลนั้นจะพึงเสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น เพราะอาศัยความประมาท บุคคลนี้เรียกว่า
 ผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมพระอริยบุคคลแม้ทั้งปวงเป็นผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมในวิโมกข์ส่วนที่
เป็นอริยะ
    [๒๓] บุคคลผู้ควรโดยเจตนา เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสรหคตด้วยรูปฌาน หรือสหรคตด้วย
อรูปฌาน แต่บุคคลนั้นมิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่ได้โดยไม่ยากมิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก
 ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นานเท่าใดได้ตามปรารถนา หากว่าคอยใส่ใจอยู่
ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้นหากไม่เอาใจใส่ก็เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น บุคคลนี้เรียกว่า
 ผู้ควรโดยเจตนา
    [๒๔] บุคคลผู้ควรโดยการตามรักษา เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสรหคตด้วยรูปฌาน หรือสรหคตด้วย
อรูปฌาน และบุคคลนั้นแลมิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้
โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใดได้ตามปรารถนา
 หากว่าคอยรักษาอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น หากว่าไม่คอยรักษาก็เสื่อมจากสมาบัติ
เหล่านั้น บุคคลนี้เรียกว่าผู้ควรโดยการตามรักษา
[๒๕] บุคคลที่เป็นปุถุชน เป็นไฉน
    สัญโญชน์ ๓ อันบุคคลใดละไม่ได้ ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อละธรรมเหล่านั้นบุคคลนี้เรียกว่า
ปุถุชน
    [๒๖] โคตรภูบุคคล เป็นไฉน
    ความย่างลงสู่อริยธรรมในลำดับแห่งธรรมเหล่าใด บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านั้น
นี้เรียกว่า โคตรภูบุคคล
    [๒๗] บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว เป็นไฉน
    พระเสขะ ๗ จำพวก และบุคคลปุถุชนผู้มีศีล ชื่อว่าผู้งดเว้นเพราะกลัว พระอรหันต์
ชื่อว่ามิใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว
    [๒๘] บุคคลผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล เป็นไฉน
    บุคคลที่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ประกอบด้วยกิเลสาวรณ์ ประกอบด้วยวิปากาวรณ์
ไม่มีศรัทธา ไม่มีฉันทะ มีปัญญาทราม โง่เขลา เป็นผู้ไม่ควรหยั่งลงสู่นิยามอันถูกในกุศลธรรม
ทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล
    [๒๙] บุคคลผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล เป็นไฉน
    บุคคลที่ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณ์ ไม่ประกอบด้วย
วิปากาวรณ์ มีศรัทธา มีฉันทะ มีปัญญา ไม่โง่เขลา เป็นผู้ควรเพื่อหยั่งลงสู่นิยามอันถูกใน
กุศลธรรมทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล
    [๓๐] บุคคลผู้เที่ยงแล้ว เป็นไฉน
    บุคคลผู้ทำอนันตริยกรรม ๕ จำพวก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ และพระอริยบุคคล
๘ ชื่อว่า ผู้เที่ยงแล้ว บุคคลนอกนั้นชื่อว่า ผู้ไม่เที่ยง
    [๓๑] บุคคลผู้ปฏิบัติ เป็นไฉน
    บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ชื่อว่าผู้ปฏิบัติ บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยผล ๔ ชื่อว่า
ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล
    [๓๒] บุคคลชื่อว่าสมสีสี เป็นไฉน
    การสิ้นไปแห่งอาสวะ และการสิ้นไปแห่งชีวิตของบุคคลใด มีไม่ก่อนไม่หลังกัน
บุคคลนี้เรียกว่า สมสีสี
[๓๓] บุคคลชื่อว่าฐิตกัปปี เป็นไฉน
    บุคคลนี้พึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และเวลาที่กัลป์ไหม้จะพึงมี
กัลป์ก็ไม่พึงไหม้ตราบเท่าที่บุคคลนี้ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลบุคคลนี้เรียกว่า ฐิตกัปปี
บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรคแม้ทั้งหมด ชื่อว่าเป็นผู้มีกัลป์ตั้งอยู่แล้ว
    [๓๔] บุคคลเป็นอริยะ เป็นไฉน
    พระอริยบุคคล ๘ เป็นอริยะ บุคคลนอกนั้น ไม่ใช่อริยะ
    [๓๕] บุคคลเป็นเสขะ เป็นไฉน
    บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๓ เป็นเสขะ  พระอรหันต์เป็น
อเสขะ บุคคลนอกนั้น เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่
    [๓๖] บุคคลผู้มีวิชชา ๓ เป็นไฉน
    บุคคลประกอบด้วยวิชชา ๓ ชื่อว่าผู้มีวิชชา ๓
    [๓๗] บุคคลผู้มีอภิญญา ๖ เป็นไฉน
    บุคคลประกอบด้วยอภิญญา ๖ ชื่อว่าผู้มีอภิญญา ๖
    [๓๘] บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองในธรรมทั้งหลาย
ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น และบรรลุความเป็น
ผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลายบุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ
    [๓๙] บุคคลเป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้ซึ่งสัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลายที่ตน
ไม่ได้สดับมาแล้วในก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็น
ผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคลนี้เรียกว่า พระปัจเจกพุทธะ
    [๔๐] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะ
ของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุต
[๔๑] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะ
ของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ปัญญาวิมุต
    [๔๒] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะ
บางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี
    [๔๓] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความ
เป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศ
แล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว
 เพราะเห็นด้วยปัญญาบุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ
    [๔๔] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความ
เป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่านี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตาม
ความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว
 ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว
 เพราะเห็นด้วยปัญญาแต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต
    [๔๕] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน
    ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้น
ย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้
เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี
บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
[๔๖] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉน
    สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง อบรม
อริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารี
บุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่า
สัทธาวิมุต
    [๔๗] บุคคลชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็นโสดาบัน มีอัน
ไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นจะแล่นไป
ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ๗ ชาติ แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ
    [๔๘] บุคคลชื่อว่าโกลังโกละ เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็นโสดาบัน มีอัน
ไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยว
ไปสู่ตระกูลสองหรือสาม แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ
    [๔๙] บุคคลชื่อว่าเอกพิชี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ มีอันไม่ไปเกิดใน
อบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลนั้นเกิดในภพมนุษย์อีกครั้งเดียว
แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่าเอกพิชี
    [๕๐] บุคคลชื่อว่าสกทาคามี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เพราะทำราคะ โทสะ
โมหะ ให้เบาบางลง เป็นสกทาคามี ยังจะมาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้
บุคคลนี้เรียกว่าสกทาคามี
    [๕๑] บุคคลชื่อว่าอนาคามี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิด
เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
 บุคคลนี้เรียกว่า อนาคามี
[๕๒] บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิด
เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
 บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นเพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน ในระยะเวลาติดต่อกับ
ที่เกิดบ้าง ยังไม่ถึงท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อันตราปรินิพพายี
    [๕๓] บุคคลชื่อว่าอุปหัจจปริพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิด
เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้นมีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน เมื่อล่วงพ้นท่ามกลาง
กำหนดอายุบ้าง เมื่อใกล้จะทำกาลกิริยาบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี
    [๕๔] บุคคลชื่อว่าอสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิด
เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลนั้นย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยไม่ลำบากเพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้
เรียกว่า อสังขารปรินิพพายี
    [๕๕] บุคคลชื่อว่าสสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบ แห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มี
กำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้นมีอันไม่กลับมาจากโลกนั้น
เป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยลำบาก เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน
บุคคลนี้เรียกว่า สสังขารปรินิพพายี
    [๕๖] บุคคลชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิด
เป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
บุคคลนั้น จุติจากอวิหาไปอตัปปา จุติจากอตัปปาไปสุทัสสา จุติจากสุทัสสาไปสุทัสสี
จุติจากสุทัสสีไปอกนิฏฐา ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นในอกนิฏฐา เพื่อละสัญโญชน์เบื้องบน
บุคคลนี้เรียกว่า อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
[๕๗] บุคคลชื่อว่าโสดาบัน ชื่อว่าปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลเป็นไฉน
    บุคคลผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อละสัญโญชน์ ๓ ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สัญ
โญชน์ ๓ อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนั้นเรียกว่าโสดาบัน
    บุคคลปฏิบัติแล้วเพื่อความเบาบางแห่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้ง
ซึ่งสกทาคามิผล เพราะราคะและพยาบาทของบุคคลใดเบาบางแล้ว บุคคลนี้เรียกว่า สกทาคามี
    บุคคลปฏิบัติแล้วเพื่อละไม่ให้เหลือ ซึ่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้ง
ซึ่งอนาคามิผล กามราคะและพยาบาทอันบุคคลใดละได้หมดไม่มีเหลือ บุคคลนั้นเรียกว่า
อนาคามี 

    บุคคลปฏิบัติแล้ว เพื่อไม่ให้เหลือซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล รูปราคะ อรูปราคะมานะ อุทธัจจะ อวิชชา อันบุคคลใด
ละได้หมดไม่มีเหลือ บุคคลนี้เรียกว่าอรหันต์
               เอกกนิทเทส จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น