หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

You tube ลป.สาวกโลกอุดร 2


ลป.ประกาศตัวเองเป็นพระอรหันต์ท่ามกลางสงฆ์


สป.สาวกโลกอุดร เทศนาเรื่องปณิธานพระเจ้าตากสิน อจินไตย ญานวิสัย คือญานหยั่งรู้ของพระอรหันต์ ลป.เป็นตัวแทนของ พระเจ้าตากสิน เพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา โดยแนะนำให้ สสร.พิจารณานำพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ อยู่ใน กฏหมายรัฐธรรมนูญ หากไม่ดำเนินการก็จะถูกคำสาปแช่งจากพระเจ้าตากสิน ให้ประเทศประสบภัยพิบัติ ซึ่งที่จริงแล้วประเทศไทยได้ปัญหาทางเศรษฐกิจ ทางการเงิน หรือยุค IMF ปี ๔๐

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

You tube ประวัติ ลป.สาวกโลกอุดร


ลป.สาวกโลกอุดร แสดงธรรมเพื่อปกป้องพระสัทธรรมคำสอนที่ถูกต้อง เพื่อ ทางแห่งมรรค ผล นิพพานโดยมีสภาวะรองรับ ซึ่งไม่เหมือนกับคณาจารย์รูปอื่น ที่ไม่สามารถเทศน์ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจสี่ได้ถูกต้อง พร้อมทั้งได้แสดงให้เห็นว่าท่านมีญานหยั่งรู้จริง ในหลาย ๆ เรื่องโดยเฉพาะ
การตรัสรู้ของพระอริยบุคคลในยุคพุทธกาล และลีลาการเทศนาซึ่งไม่เหมือนใคร มีเนื้อหาสาระ
สัจจธรรมครบถ้วน  โดยไม่มีการอ่านหรือดูเนื้อหาที่เตรียมไว้แต่อย่างใด เรื่องอุปกะชีวก  สำหรับการเทศน์  ๑ ชม.ครึ่ง แบบว่าแทบจะไม่ได้หายใจเอาเลยก็ว่าได้
    สำหรับสาเหตุที่เราไม่เคยได้ยินชื่อท่าน ก็เพราะท่านถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดี หรือ สำนักต่าง ๆ ที่ท่านได้เทศน์ไปกระทบร่วมมือกัน เพื่อกำจัดท่าน และไม่ต้องการให้ใคร ๆ ได้รู้เห็น โดยใส่ความท่านในทางที่เสียหายบ้าง ออกข่าวว่าท่านเป็นบ้าบ้าง  ใช้หน่วยงานของรัฐเข้าไปดำเนินการ เพื่อไม่ให้ท่านเกิด และตามราวีเรื่อยมา โดยจะให้ท่านสึกออกจากสมณเพท ซึ่งผู้ที่ได้กระทำไปแล้วผมก็คิดว่าโดนวิบากกรรมกันไปตามๆ กัน รวมทั้ง พระและฆราวาสด้วย
สำหรับประวัติ ลป.สาวกโลกอุดรดูได้ที่  (www.sawoklokudon.com  คลิก)
สำหรับหนังสือหยั่งลงก้นมหาสมุทร(​สามารถดาวโหลด์ที่นี่ คลิก)

สำหรับคลิบการแสดงธรรมที่ ลป.ได้แสดงธรรมในที่ต่าง ๆ และโอกาสต่าง ๆ รวมทั้ง การแก้ความคิดเห็นที่ผิดที่ผิดไปจากคำสอน ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ตรัสสอนในสมัยพุทธกาล ซึ่งยังมีการถกเถียงกัน หาข้อยุติไม่ได้ ก็ลองมาฟังคำเทศน์และเปรียบเทียบข้อมูลในพระไตรปิฏกที่ผมรวบรวมมา
ซึ่งผมกล้ายืนยันได้ว่า ท่านผ่านการบรรลุธรรมแน่นอน  ซึ่งไม่เหมือนสำนักอื่นที่กำกวม ไม่ชัดเจนว่า
การปฏิบัติสมณะธรรมเพื่อบรรลุธรรม ท่านปฏิบัติกันอย่างไร  ลป.ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีการแยกสงฆ์ในรัชสมัย ร.๔  มาเป็นธรรมยุตินิกาย ว่าเป็นสังฆเภท หรือไม่(ดูที่นี่) ซึ่งหากว่าเป็นจริงก็เป็น
อนันตริยกรรมห้าม มรรค ผล นิพพาน


 
ลป.ประกาศตัวเองเป็นพระอรหันต์ ปี ๓๙
เพื่อเผยแพร่สัจธรรม มรรค ผล นิพพาน ที่แท้จริง


ประวัติ ลป.สาวกโลกอุดร ตอน ๑


ประวัติ ลป.สาวกโลกอุดร ตอน ๒


ลป.สาวกวิจารณ์หนังสือตามรอยพระอรหันต์ของท่านพุทธทาส
ความหมายของคำว่าตรัสรู้ คิดเอาจนรู้




ปฏิจจสมุปบาทที่ไม่พระรูปใดอธิบายได้ชัดเจนและชาวพุทธเองก็ไม่เคยได้ยินเสียด้วยซ้ำว่า
คำนี้มีในพระพุทธศาสนาด้วยหรือ คำที่คุ้นหูคือ อริยสัจสี่ มรรค ขันธ์ห้า
ความหมายคำว่านามรูป

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ
ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล
บางคนอาจจะคิดว่าต้องเห็นพระพุทธเจ้าจึงจะถูก ถ้าอย่างนี้ตอนที่พระองค์บรรลุธรรม(ตรัสรู้) แสดงว่าพระองค์เห็นตัวเอง หรือ พระพุทธเจ้าองค์ไหน ? ถูกหรือผิด
แล้วก็ตอนพระอานนท์ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ แล้วเข้าไปร่วมทำสังคยานา ท่านรู้ได้อย่างไร
ว่าตัวท่านเองสำเร็จ(ไม่มีพระพุทธเจ้ารับรอง) แล้วพระอรหันต์องค์อื่น ๆ ละ ท่านเอาอะไรมารับรอง?

ท่านรู้ได้อย่างไร ?

"บัณฑิตย์จะรู้บัณฑิตย์ได้ก็ได้ด้วยการสนธนา" นี่คือคำของ ลป.สาวก




































ความจริงที่ถูกปิด

ราชวงค์ที่รวยที่สุดในโลก
ใครโกหกประชาชน ทำธรุกิจอะไร ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง






























ธรรมเครื่องอยู่สำราญ(การปรินิพพานพระมารดา)




            [๓๖๕] พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็เมื่อพวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่า
ธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญ ที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส พวกข้าพระ
องค์หวังอยู่เพียงว่า พวกเราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เมื่อพวกข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปอยู่
คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็น
เครื่องอยู่สำราญนี้แล พวกข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง
เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
พวกเราบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจาร
สงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะ
อันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญ เพื่อ
ความก้าวล่วง เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
พวกเรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่
พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข อันนี้ได้แก่
คุณวิเศษ คือญาณทัสสนะ อันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
พวกเราบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำ
ความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?

เจ้าชายสิทธัตถะเข้าปฐมฌาน อายุได้ ๗ พรรษา

     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตต
สัญญา พวกเราบรรลุอากาสานัญจายตนฌานด้วยพิจารณาว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ อันนี้
ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วย
พิจารณาว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถ
กระทำความความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียงซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน
ด้วยพิจารณาว่า น้อยหนึ่งไม่มี ดังนี้อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำ
ความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนญาน
อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง
เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
     อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา อาสวะของท่านผู้นั้นย่อมหมดสิ้นไป อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะ
อันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น
เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ ได้บรรลุแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
อนึ่ง พวกข้าพระองค์ยังไม่พิจารณาเห็นธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่า หรือประณีต
กว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้.
     พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า
ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้หามีไม่.
     [๓๖๖] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคยังท่านพระอนุรุทธ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระ
กิมิละ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วเสด็จลุกจากอาสนะ
หลีกไป ท่านพระอนุรุทธ ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ ส่งเสด็จพระผู้มีพระภาค
ครั้นกลับจากที่นั้นแล้ว ท่านพระนันทิยะ และท่านพระกิมิละ ได้กล่าวกะท่านพระอนุรุทธว่า
ท่านอนุรุทธประกาศคุณวิเศษอันใดของพวกกระผม จนกระทั่งถึงความสิ้นอาสวะ ในที่เฉพาะ
พระพักตร์ พระผู้มีพระภาค พวกกระผมได้บอกคุณวิเศษนั้น แก่ท่านอนุรุทธอย่างนี้หรือว่า พวก
เราได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ด้วย.
     อ. พวกท่านผู้มีอายุมิได้บอกแก่กระผมอย่างนี้ว่า พวกเราได้วิหารสมาบัติเหล่านี้ด้วยๆ
แต่ว่ากระผมกำหนดใจของพวกท่านผู้มีอายุด้วยใจแล้วรู้ได้ว่า ท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ได้วิหารสมาบัติ
เหล่านี้ด้วยๆ แม้พวกเทวดาก็ได้บอกเนื้อความข้อนี้แก่กระผมว่า ท่านผู้มีอายุเหล่านี้ ได้วิหาร
สมาบัติเหล่านี้ด้วยๆ กระผม ถูกพระผู้มีพระภาคตรัสถามปัญหาแล้ว จึงทูลถวายพยากรณ์
เนื้อความนั้น.
(คห. นี้คือ วิหารสมาบัติของพระอรหันต์ ดูตอนลำดับขั้นปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ได้เหมือนกันเรียกว่าอนุปุพวิหาร ๙)



การแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ


พระมหาปชาบดีเถรีปรินิพพาน

    นาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉันจักไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการปานน้ำอมฤตอีก ข้าแต่พระวีรเจ้าผู้เลิศของโลก หม่อมฉันจักไม่ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์
ซึ่งอ่อนละเอียดดีอีก วันนี้หม่อมฉันจะเข้านิพพาน.
พระศาสดาตรัสว่า
จะมีประโยชน์อะไรด้วยรูปนี้แก่ท่านในปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ายินดี เป็นของเลวทราม  
พระมหาปชาบดีเถรีเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุณีเหล่านั้นไปสู่สำนักนางภิกษุณีของตนแล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนครนั้น ผู้มีความเคารพรักในพระพุทธศาสนา ได้สดับพฤติเหตุของพระนางเจ้า ต่างก็เข้าไปหานมัสการแทบบาทมูล เอากรค่อนอุระประเทศร้องไห้พิไรร่ำคร่ำครวญควรจะกรุณา เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ล้มลงที่พื้นพสุธา ดุจเถาวัลย์รากขาดแล้วล้มลง ฉะนั้น พากันร้องไห้รำพันด้วยวาจาว่า ข้าแต่พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งของดิฉันทั้งหลาย พระแม่เจ้าอย่าได้ละทิ้งดิฉันทั้งหลาย ไปเข้านิพพานเสียเลย ดิฉันทุกคนขอซบเศียรอ้อนวอน พระมหาปชาบดีเถรีเจ้าลูบศีรษะของอุบาสิกาผู้มีศรัทธามีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของอุบาสิกาเหล่านั้นอยู่
ได้กล่าวว่า ลูกทั้งหลายเอ๋ย การพร่ำเพ้อซึ่งเป็นไปในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังเขตธรรมทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง มีแต่จะพลัดพรากจากกัน หวั่นไหวไปมา ต่อแต่นั้น พระนางก็สละอุบาสิกาเหล่านั้นเสีย
     เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน  (รูปฌาน)

แล้วเข้าอากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน
และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน  (อรูปฌาน)ตามลำดับ (คห.ไม่ได้พูดถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ)
แล้วพระโคตมีเถรีเจ้าก็เข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิโลม แล้วก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน
ครั้นออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับไป เหมือนเปลวประทีปที่หมดเชื้อดับไป ฉะนั้น
ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลงจากนภากาศ กลองทิพย์ก็บันลือลั่นขึ้นเอง ทวยเทพพากันคร่ำครวญและฝนดอกไม้ก็ตกจากอากาศลงยังพื้นแผ่นดิน แม้ขุนเขาสุเมรุราชก็กัมปนาทหวั่นไหว เหมือนคนเต้นรำในท่ามกลางที่เต้นรำ ฉะนั้นสาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองระลอกฉะฉาน ทวยเทพ นาค อสูร
และพรหมต่างก็พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระมหาปชาบดีเถรีเจ้านี้ถึงความย่อยยับไปแล้ว และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของพระศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระมหาปชาบดีเถรีเจ้านี้ ก็พากันดับไปแล้วเหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อดับไป ฉะนั้น โอ้ ความประจวบกันมีความพลัดพรากเป็นที่สุด โอ้ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วนแต่ไม่เที่ยง
โอ้ ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด ความปริเทวนา ได้มีแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
     ในลำดับนั้น เทวดาและพรหมต่างก็ทำความประพฤติตามโลกธรรม
ตามสมควรแก่กาลแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคผู้สูงสุดกว่าฤาษี ครั้งนั้นพระศาสดาได้ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่าอานนท์ท่านจงไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบถึงการนิพพานของ
พระมารดาเวลานั้น ท่านพระอานนท์เป็นผู้หมดความแช่มชื่นมีตานองไปด้วยน้ำตา ได้กล่าวด้วยเสียงอันน่าสงสารว่า ขอพระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้าซึ่งอยู่ในทิศตะวันออกทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ จงมาประชุมกัน พระภิกษุณีผู้ยังพระสรีระสุดท้ายของพระมุนีให้เจริญด้วยน้ำนม พระมารดาของ

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระนิพพาน ท่านจะเชื่อใคร

มรรค ผล นิพพานในศาสนาพุทธ ท่านจะเชื่อใคร? ใครถึงแล้วกันบ้าง
"ผู้ใดเห็นปฏิจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นปฏิจสมุปบาท"
การปรินิพพานตามคำของพระอานนท์ 

การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ตอน บรรลุธรรม(นิพพานครั้งแรก)

ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ  ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อ
ว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้. ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ใด
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล. ความพอใจความอาลัย ความยินดี ความ
ชื่นชอบ ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด อันนั้นชื่อว่าทุกขสมุทัย การกำจัดความกำหนัดด้วย
สามารถความพอใจ การละความกำหนัดด้วยสามารถความพอใจในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้อันใด
อันนั้นชื่อว่าทุกขนิโรธแล. ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ด้วยเหตุแม้มีประมาณเท่านี้แล.
คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นอันภิกษุทำให้มากแล้ว.





































แผนการทำลายศาสนาพุทธ



แผนการทำลายศาสนาพุทธ
ไม่เห็นมีหน่วยงานไหนรับผิดชอบ


พระบรมสารีริกธาตุของจริง


พระบรมสารีริกธาตุของจริง





 ภาพหินแกะสลักที่อัฟกานิสถาน สมัยพุทธกาล







Rediscovery of Lord Buddha's Skull Relic









HD Original Buddha's bone 2,300 years old.




พระธาตุของหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด จริงหรือเท็จ พิจารณาเองครับ



วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตามหาแก่นธรรม กรณีคำสอนวัดธรรมกาย

ตามหาแก่นธรรม กรณีคำสอนวัดธรรมกาย




คำสอนวัดธรรมกาย นิพพานเป็นอัตตา

คำว่าธรรมกายมีทั้งหมด ๕ คำในพระไตรปิฏกทั้งหมด





ตะเพิดพระจอมแฉพ้นวัดปากน้ำ

http://rabob.tripod.com/daily44.htm
ตะเพิดพระจอมแฉพ้นวัดปากน้ำ

"ต่างประเทศ" เตรียมสอบข้อเท็จจริงธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้สัญชาติอเมริกัน
ชี้มีแค่3ทาง เกิด-แต่งงาน-แปลงชาติ  ด้านสรรพากรเดินหน้าสอบภาษีย้อนหลังธุรกิจวัด
พระธรรมกายและบ.รับเหมาสร้างมหาธรรมกายเจดีย์แล้วแจงพระต้องเสียภาษีรายได้บุคคล
ธรรมดาด้วย พบหลักฐานมูลนิธิพระธรรมกายมีเงินรายได้มหาศาลแต่ยื่นขอหักภาษีแค่ 2 แสนบาท สรรพากรย้ำตรวจพบทุจริตภาษีเจอคุกแน่.
  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำฉุนพระอดิศักดิ์ วิริยสะโก
แฉพฤติกรรมธัมมชโยออกทีวี ขับออกจากวัดแล้ว พระพยอมอ้าแขนรับทันที
จากกรณีที่นายอรรถสิทธิ์ ทรัพย์สิทธิ์ โฆษกกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนราษฏร์ได้เปิดแถลงข่าวแฉ
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ธัมมชโย ถือสัญชาติอเมริกัน และท้วงติงว่า หากพระรูปนี้ถูกสังคมกดดันมากๆ อาจหอบทรัพย์สินเงินทองหนีไปอยู่เมริกาก็ได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอานุภาพ ทวินทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงข่าวอื้อฉาวกรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พระธัมมชโย ถือสัญชาติไทยและอเมริกัน ว่า ขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลดูว่าจะมีส่วนใดบ้างที่เป็นการขัดต่อกฏหมายไทยหรือขัดต่อระเบียบว่าด้วยความมั่นคงของชาติ หากไม่มีอะไรเสียหายคนไทยทุกคนก็สามารถือได้ทั้งสองสัญชาติ จะมีอยู่กรณีเดียวคือ ได้สัญชาติอื่นด้วยวิธีการแปลงชาติ ซิ่งวิธีนี้บุคคลดังกล่าวจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาขอสละสัญชาติไทยก่อน และเมื่อได้แปลงเป็นสัญชาติอื่นไปแล้วกฏหมายไทยกำหนดไว้ชัดว่า กรณีถ้าเป็นผู้ชายห้ามแปลงกลับมาเป็นคนสัญชาติไทยอีกกรณีของพระธัมมชโย ที่มีข่าวได้สัญชาติอเมริกัน นั้น กระทรวงการต่างประเทศคงต้องตรวจสอบดูว่ากฏหมายอเมริกันเปิดช่องให้ถือได้ทั้งสัญชาติไทยและอเมริกันหรือไม่ เช่น ถ้านำเงินไปลงทุนตามจำนวนที่ทางการสหรัฐอเมริกากำหนด เช่นถ้านำเข้ามาลงทุน1ล้านดอลลาร์จะได้สิทธิ์อย่างไรบ้าง หรือถ้าเกินไปกว่านั้นยังจะได้สิทธิ์พิเศษอะไรเพิ่มเติมบ้าง พร้อมกับมา
    ดูกฏหมายสัญชาติของไทยว่าเปิดช่องไว้อย่างไรบ้างทั้งนี้ ตามกฏหมายสัญชาติของไทยก็ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้3หลักใหญ่ๆคือ
    1.ได้สัญชาติโดยการเกิดเนื่องจากพ่อแม่เป็นคนไทย หรือเวลาเกิดไปเกิดในประเทศนั้นๆ เช่น แม่พาไปคลอด เป็นต้น
   2.โดยวิธีการแต่งงานกับคนในประเทศนั้น ๆ
    3.โดยวิธีการแปลงชาติ
สำหรับกรณีของหลวงพ่อวัดพระธรรมกายนั้นไม่ใช่ 2 วิธีการแรกแน่ๆเพราะพ่อแม่เป็นคนไทย อีกทั้งยังเป็นพระภิกษุจึงแต่งงานไม่ได้ มีทางเดียวที่จะได้สัญชาติอเมริกันคือแปลงชาติซึ่งวิธีการนี้กฏหมายไทยกำหนดไว้ชัดเจนว่าให้เลือกถือเพียงสัญชาติเดียวจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาขอสละสัญชาติไทยก่อนเป็นเวลา 30 วัน จากนั้นเมื่อแปลงไปแล้วห้ามแปลงกลับมาเป็นคนไทยเหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้จะชี้มูลว่าพระผิดหรือไม่ผิด ไม่ได้ ต้องไปดูกฏหมายอเมริกัน
ประกอบกันว่าการให้สัญชาติอเมริกันกับพระธัมมชโย นั้น เป็นเพราะเงื่อนไขข้อใด และจะเข้าข่ายกระทำผิดกฏหมายสัญชาติไทยหรือไม่
     ด้านนายองอาจ คร้ามไพบูลย์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกรทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การสอบสวนข้อเท็จจริงการถือสัญชาติอเมริกันของพระธัมมชโย นั้น พร้อมที่จะสอบทันทีตอนนี้กำลังรอทางตำรวจสันติบาล สภาความมั่นคงแห่งชาติหรือกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนฯ ร้องขอมา
นายเชาวน์ ศรีกมล สรรพกรจังหวัดปทุมธานีเปิดเผยถึงการชำระภาษีของมูลนิธิวัดพระธรรมกายสืบเนื่องมาจากกรณีที่กรมทำเบียนการค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า วัดพระธรรมกายมีการจัดตั้งมูลนิธิและพระหลายรูปในวัดก็มีธุรกิจส่วนตัวมากมายรวมๆ แล้วกว่า 100 บริษัท มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก เช่น คอนโดมิเนียม อาคารที่พักสงฆ์ และมหาธรรมกายเจดีย์ ที่ใช้เงินลงทุนนับหมื่นล้านบาทรวมถึงกรณีที่อดีตพระลูกวัดออกมาระบุว่า มีเงินนับพันล้านบาทที่ได้จากการบริจาคของชาวบ้านนั้น เรื่องนี้ทางผู้บริหารกรมสรรพากรหลายฝ่ายต่างให้ความสนใจมาก
และต้องการจะรู้ว่าพระและมูลนิธิวัดพระธรรมกายได้ชำระภาษีรายได้ให้รัฐหรือไม่
สืบเนื่องจากประกาศของกระทรวงการคลังได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า พระที่ทำธุรกิจส่วนตัวและรายได้ของมูลนิธิวัดพระธรรมกายเองไม่ได้รับการยกเว้นภาษีตามประกาศแนบท้ายของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำหรับภาษีที่กรมสรรพากรกำลังเข้าไปตรวจสอบประกอบด้วย
1.ภาษีรายได้นิติบุคคล
2.ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของพระในวัด
3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
4.ภาษีรายได้ธุรกิจเฉพาะ ซึ่งทั้ง4ประเภทนี้จากการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีย้อนหลังพบว่า
นับตั้งแต่ปี 2526-2540 ที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายยื่นขอเสียภาษีมาเพียงอย่างเดียวคือ ภาษีรายได้จากมูลนิธิ โดยตัวเลขล่าสุดยื่นเสียภาษีมาเพียง 204,125.60 บาท เมื่อหักเป็นภาษีที่ต้องชำระให้แก่รัฐแล้วมีไม่เกิน 10,000 บาท.
ในส่วนของการก่อสร้างคอนโดมินเนียม-มหาธรรมกายเจดีย์ ตอนนี้กรมสรรพากรกำลังตรวจสอบดูว่าเป็นของวัดหรือของมูลนิธิและได้จดทะเบียนก่อสร้างกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ทราบพบว่าไม่ได้ขออนุญาติไว้แต่อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างธุรกิจ
ของวัดทั้งหมดนี้ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ซึ่งหากปรากฏว่าไม่มีการชำระภาษีก็มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษี สำหรับในส่วนที่ยื่นเสียภาษีไปแล้วหากตรวจย้อนหลังกับไปแล้วพบว่า เงินรายได้ที่ยื่นเสียภาษีไปกับรายได้จริงไม่ตรงกันทางกรมสรรพากรก็จะต้องประเมินภาษีใหม่ แล้วแจ้งให้วัดชำระภาษีเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนด
    นายเชาวร์กล่าวว่า การเข้าตรวจสอบภาษีของวัดพระธรรมกายนั้น ทางสรรพกรได้ขอความร่วมมือจากทางวัดและมูลนิธิเพื่อขอให้ส่งข้อมูลเอกสารภาษีซื้อ ภาษีขาย และหลักฐานต่างๆมายังกรมสรรพากรโดยเร่งด่วนแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเข้าไปจับผิดทางวัดและมูลนิธิ แต่เป็นการเข้าไปประสานความร่วมมือ สิ่งใดที่วัดหรือมูลนิธิได้ทำถูกต้องแล้วจะได้ประสานให้ดำเนินการต่อไป สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังทำไม่ถูกต้องก็จะได้ชี้แจงทำความเข้าใจทำให้เกิดความถูกต้อง  แต่ตลอดระยะที่ผ่านมาวัดพระธรรมกายยังไม่ได้ส่งข้อมูลอะไรมาอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย ครั้งล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้ส่งนายโกวิทย์ สุบรรณพงษ์ สมุหบัญชีสาขา   เข้าไปขอข้อมูล แต่ก็ยังเหมือนเดิม มีเพียงทางวัดมอบหมายให้นางเครือวัลย์
แนบชิด เจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกาย มาชี้แจงและขอระยะเวลาสักระยะหนึ่งสำหรับรวบรวมข้อมูลหากเสร็จแล้วจะแจ้งให้ทางสรรพากรรับทราบ เมื่อได้รับทราบว่าทางตัวแทนวัดขอเลื่อนส่งข้อมูลออกไปอีกอย่างไม่มีกำหนดตนจึงได้ผ่อนผันให้ยื่น ภายในวันที่ 12-15 มกราคม 2542 ซึ่งหากภายในกำหนดนี้วัดยังไม่มอบหลักฐานภาษีซื้อภาษีขายและรายงานบัญชีรับ-จ่ายให้กรมสรรพากรได้ตรวจสอบแล้วก็จำเป็นที่จะต้องใช้ไม้แข็งคือ ออกหนังสือเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรและถ้ายังไม่ส่งมอบมา
อีกก็ต้องมีบทลงโทษตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป
        ส่วนที่มองกันว่าจะมีการหลบเลี่ยงภาษีนั้นคงไม่น่าเป็นห่วงเพราะกรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งการจะปลอมแปลงเอกสารก็เช่นกันสามารถตรวจสอบได้ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะการกระทำเช่นว่านี้เป็นการผิดทางอาญา ทางวัดคงไม่ทำแน่ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทางกรมสรรพากรไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัดกับพระ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของศาสนาและเชื่อด้วย
ความบริสุทธิ์ใจว่าคงไม่มีวัดหรือพระที่ไหนกระทำผิดกฏหมาย แต่วัดพระธรรมกายถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นที่สนใจของประชาชน อีกทั้งที่วัดแห่งนี้พระสงฆ์ก็มีข่าวปรากฏออกมาแปลกๆ คือ แทนที่จะเป็นผู้ซึ่งตัดแล้วซึ่งทางโลก แต่พระของวัดนี้กลับไปทำธุรกิจหรือไปลงทุนมากมายดูแล้วขัดกับความรุ้สึกของ ประชาชนทั่วไปอย่างมาก  ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ เวลา 13.00 น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ต้องให้พระอดิศักดิ์ วิริยธกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ออกไปจำพรรษาที่วัดอื่นว่า อาตมายอมรับว่าต้องไล่พระอดิศักดิ์ออกจากวัด ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากกรณีการไปบันทึกรายการไอทีวีทอล์ค ของสถานีโทรทัศน์เสรี โดยก่อนหน้าที่จะเดินทางออกจากวัดไปบันทึกรายการ พระอดิศักดิ์ได้มาลาขออนุญาตอาตมา ซึ่งอาตมาก็ได้บอกกล่าวไปว่าอนุญาตให้ไปออกรายการได้ หากแต่การตอบคำถามในประเด็นต่างๆจะต้องไม่พาดพิงผู้อื่นทั้งสิ้น อนุญาตให้พูดได้แต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเท่านั้น
"อาตมาต้องยึดมั่นคำสัตย์ เมื่อปรากฏว่าการไปบันทึกรายการดังกล่าว พระอดิศักดิ์ไม่รักษาคำพูดที่รับคำจากอาตมาไว้ อาตมาจำเป็นต้องให้พระอดิศักดิ์ออกไปเสียจากวัดปากน้ำ โดยมีระยะเวลาในการ เตรียมตัวขนย้ายออกไปภายในเวลา 3 วัน"
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ติดต่อขอสัมภาษณ์พระอดิศักดิ์ เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากแต่ได้รับการปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ กล่าวเพียงว่าทุกเรื่องที่ผู้สื่อข่าวต้องการทราบ อาตมาได้เปิดเผยไปจนหมดสิ้นแล้ว เวลานี้คงไม่มีข่าวที่จะให้อีกแล้ว
       ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากการสอบถามพระใกล้ชิดหลายองค์ทราบว่า พระอดิศักดิ์ได้ถูกตามตัวให้ไปพบเจ้าอาวาสเป็นการด่วน ภายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีได้แพร่ภาพรายการไอทีวีทอล์คออกไป ซึ่งเป็นการเรียกพบเพียงลำพังสององค์ ใช้เวลาในการสนทนาไม่ถึง 5 นาที พระอดิศักด์ก็กลับมาจำวัดที่กุฏิเก็บตัวเงียบตลอดเวลา ผู้ที่ได้พบเห็นต่างคาดการณ์ว่าพระอดิศักดิ์คงถูกไล่ออกจากวัดเป็นแน่แท้อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าพระอดิศักดิ์คงจะไปขอจำวัดอยู่ที่วัดสวนแก้วโดยก่อนหน้านี้พระพิศาลธรรมวาทีหรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ได้แสดงความจำนงที่จะรับพระอดิศักดิ์ ให้สามารถมาจำวัดที่วัดสวนแก้วได้ ซึ่งพระอดิศักดิ์ก็ได้หารือกับพระพยอมแล้ว จึงเป็นที่ทราบกันว่าพระอดิศักดิ์จะไปขอจำวัดที่วัดสวนแก้วค่อนข้างแน่นอนแล้ว
นอกจากนี้ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า พระอดิศักดิ์คงจะถูกไล่ออกจากวัดปากน้ำภาษีเจริญเป็นแน่ ถ้ายังไม่ยอมหยุดการให้ข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ได้มีญาติโยมที่นับถือและศรัทธาในความมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมตามลอยพระพุทธศาสนาของพระอดิศักดิ์ ขอถวายที่ดินจำนวน 70 ไร่ที่จังหวัดเพชรบุรี ให้พระอดิศักดิ์ไว้ก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ พร้อมกันนี้ได้มีผู้มีจิตศรัทธาอีกจำนวนหนึ่งแสดงความจำนงที่จะร่วมทำบุญสร้างวัดใหม่กับพระอดิศักดิ์ด้วย
"ขอคุณโยมอย่าได้นำเอาชื่ออาตมาไปลงในหนังสือพิมพ์เลย สิ่งที่สอบถามอาตมามานี้ก็ตอบให้ตามความเป็นจริงทุกประการ อาตมารู้สึกเห็นใจพระอดิศักดิ์ที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าพระอดิศักดิ์มีความกตัญญูรู้คุณหลวงพ่อที่เป็นพระอุปปัญชาบวชให้ คงไม่กล้าออกมาให้ข่าวได้ แต่ก็เชื่อในความวิริยะอุต สาหะของพระอดิศักดิ์และพุทธศาสนิกชนจะสามารถสร้างวัดใหม่ได้ในไม่ช้าไม่นานนี้"
นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้หลายเรื่องที่ปรากฎเป็นข่าวยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีข้อเท็จจริง เป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการตนได้มอบหมายให้นายสุวัฒน์ เงินฉํ่า รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยคณะกรรมการจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 8 ม.ค. เวลา 9.00 น. เพื่อหารือในประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 5 เรื่อง โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องคําสอนของวัดพระธรรมกาย ต่อมาเป็นอภินิหาร ที่มีการกล่าวมากว่าผู้ใดเข้าไปปฎิบัติธรรมในวัดพระธรรมกายแล้วจะสามารถมอง ดวงอาทิตย์แล้วเห็นหลวงพ่อสดสด  ด้วยตาเปล่าได้ เรื่องที่สามคือเรื่องของการรับบริจาค ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตมากว่าเงินที่บริจาคเข้าไปใครเป็นผู้ดูแลระหว่างวัด กับมูลนิธิ
เรื่องที่สี่เป็น เรื่องเกี่ยวกับที่ดิน เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าชื่อเจ้าของที่ดินคือชื่อของเจ้าอาวาส และวัดพระธรรมกายก็มีการขยายสาขาไปทั่วประเทศที่ดินจึ่งมีทั้งซื้อมาและรับ บริจาค ดังนั้นหากเป็นชื่อเจ้าอาวาสจริงก็ควรดําเนินการโอนให้เป็นของวัดเสียให้ถูก ต้อง และประเด็นสุดท้ายคือประเด็นการไปลงทุนต่างประเทศ และข่าวที่ว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมีสัญชาติเป็นอเมริกันด้วย
"ประเด็นต่างๆเหล่านี้เป็นประเด็นที่คณะกรรมการจะต้องตรวจสอบให้ละเอียดทั้งที่ผมจะไปกําหนดเงื่อนเวลา ผมอยากให้คณะกรรมการทํางานอย่างอิสระและเป็นไปด้วยความรอบคอบ"นายอาคม กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งโทรเลขด่วนถึงสถานฑูตไทย ประจำ กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าว พระธัมมชโย ได้โอนสัญชาติเป็นอเมริกันและมีธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯด้วยนั้น โดยให้ตรวจสอบกับหน่วยงานของสหรัฐ อาทิ สำนักทะเบียนราษฎร์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งในชั้นต้นได้ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อาจข้อได้เพียง
กรีนการ์ดเท่านั้น เพราะการโอนสัญชาติเป็นเรื่องที่ทำได้อยาก จะขัดต่อหลักการของบุคคลที่จะต้องถือสัญชาติเดียว หากจะถือสองสัญชาติจำเป็นต้องสละอีกสัญชาติหนึ่งไป รวมทั้งการโอนสัญชาติสามารถทำได้โดยการเกิดในสหรัฐหรือทำการสมรสกับคนอเมริกัน หรือมีถิ่นพำนักถาวรในสหรัฐโดยมีธุรกิจที่ต้องลงทุนในสหรัฐ
แหล่งข่าวกล่าวว่าการขอกรีนการ์ดจะทำได้ง่ายกว่า โดยวิธีการร้องขอของคนต่างชาติจะต้องเข้าไปติด ต่อที่บริษัทกฏหมายในอเมริกา บริษัททนายจะให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการอ้างเหตุผลต่างๆ เช่น มีการลงทุนทำธุรกิจในสหรัฐ จึงต้องการกรีนการ์ด เพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าออกและพำนักในอเมริกา ทั้งนี้จะทราบแน่ชัดว่าพระธัมมชโยถือสัญชาติอเมริกันด้วยหรือไม่ อย่างช้าในวันนี้ 8 มกราคมนี้จะทราบผลที่ชัดเจน
ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 7 ม.ค. นายวรัญชัย โชคชนะ แกนนำกลุ่มพุทธศาสนิกชนไทยพร้อมพวก ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.อดิศร นนทรีย์ ผบก.ป. เพื่อขอให้ทำการสืบสวนหาข้อเท็จจริงตามที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมอัน ไม่เหมาะสมของเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย โดยมีประเด็นที่ทางกลุ่มตั้งข้อสงสัยให้สืบสวนสอบสวนคือ
1.จำนวนเงินที่ได้รับบริจาคและรายจ่าย
2.จำนวนที่ดินในลักษณะต่าง ๆ ทั้งขนาด ราคา และเจ้าของ
3.การทำธุรกิจหุ้นส่วนกว่า 100 บริษัทรวมทั้งการลงทุนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และ
4.การมีสัญชาติอเมริกันของเจ้าอาวาสมีเจตนาอะไร ถ้าพบว่าทางวัดธรรมกายทำผิดก็ขอให้อายัดเงินที่ดิน ห้ามออกนอกประเทศ และขอให้ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
   ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนั้น พล.ต.ต.อดิศร นนทรีย์ ผบก.ป. กำลังทำการประชุมอยู่จึงให้ พ.ต.อ.ทวีพร นามเสถียร และ พ.ต.อ.วิเชียร สมานพงษ์ รอง ผบก.ป. ออกมารับหนังสือร้องทุกข์ดังกล่าว ก่อนสั่งการให้ รอง ผบก.ป.ทั้งคู่เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน โดยส่งชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 ป. ลงพื้นที่สืบสวนหาข้อเท็จจริงรายงานให้ทราบโดยเร็ว ในกรณีที่อยู่นอกพื้นที่ของ กก.3 ป. ก็ให้หน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ลงไปดำเนินการต่อไป

    เดลินิวส์ 16/3/2543
    ทนายไชยบูลย์กลัวความชั่วเปิดเผย ร้องห้ามเดลินิวส์ทำข่าว
    ทนายธรรมกายร้องศาล ห้ามนักข่าวเดลินิวส์-สยามรัฐ-ข่าวสด เข้าฟังเบิกความพยานโจทก์นัดหน้า อ้างละเมิด นำคำเบิกความไปบิดเบือน "พระอดิศักดิ์"แฉรอบสองสัมพันธ์สวาท"ไชยบูลย์-สีกา"แหลก สาวกทนไม่ไหวลุกกลับเป็นแถว นัดสืบพยานโจทก์ใหม่ 22 มี.ค.
    ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 15 มี.ค. ศาลได้นัดเบิกความโจทก์คดีนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายและนายถาวร พรหมถาวร คนใกล้ชิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย โดยมีพระอดิศักดิ์ วิริยสกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและเหรัญญิกวัดพระธรรมกาย เป็นพยานโจทก์ปากที่ 6
    พระอดิศักดิ์ให้การว่า ความประพฤติของ จำเลยที่ 1 ไม่เหมือนกับพระทั่วไป เช่น การพักร่วมกับสีกา และประพฤติผิดในกามกับสีกา อีกทั้งยังมีการเลือกปฏิบัติกับญาติโยม ถ้าเป็นญาติโยมที่มีฐานะยากจนจะไม่ให้เข้าพบ ส่วนคนที่มีฐานะร่ำรวยจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และผู้ที่บริจาคเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป จำเลยที่1 จะนำไปอัดธรรมกายหรือเขาเรียกว่าเป็นการอัดคุณธรรมชั้นสูง หรือการเข้าสู่ศูนย์กลางกายของบุคคลเหล่านั้น แล้วจะบอกว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง นำมาเล่าให้กับผู้ยังไม่ได้อัดอยากที่จะอัด แต่ต้องมีการบริจาคเงินจำนวนมาก
    นเรื่องของคำสอนก็บิดเบือนไปจากพระไตรปิกฏ พระในวัดไม่มีการบิณฑบาต มีการทำโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการซึ่งมีผู้บริจาคทรัพย์ให้เป็นจำนวนมากแต่ไม่มีการดำเนินการตามโครงการที่วางไว้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 นำเงินวัดไปใช้จ่ายผิดประเภท นอกจากจะนำเงินไปกว้านซื้อที่ดินแล้ว ยังลงทุนทำธุรกิจในรูปของการตั้งบริษัท เล่นแชร์และยังนำเงินบางส่วนไปให้เสี่ยส.เล่นหุ้นด้วย ได้เคยทักท้วงจำเลยที่ 1 ผ่านทางพระสุวิทย์ สุวิชาโภ ผู้ช่วยเหรัญญิกในขณะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบก็เกิดความไม่พอใจ
    พระอดิศักดิ์ ยังกล่าวถึง พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในกรณีที่มีการซื้อที่ดินรอบวัด ว่า มีเจ้าของที่ดินบางรายไม่ยอมขาย ก็ใช้วิธีการบีบบังคับเพื่อให้ได้ที่ดินแปลงดังกล่าวมา อีกทั้งมีการนำมาเล่าให้ฟังด้วยตัวเองในวงอาหาร เป็นต้น อย่างไรก็ดีนายสนธยา โพธิแดง ทนายจำเลย ได้ซักค้านพยานโจทก์หลายประการ ทั้งยังระบุว่า พระอดิศักดิ์เคยกล่าวข้อความอาฆาตว่าจะทำลายวัดพระธรรมกาย โดยยืนยันจากเทปเสียง
    นอกจากนั้นยังนำเรื่องที่มีผู้แจ้งความกล่าวหาพระอดิศักดิ์ขโมยเพชรตาวัวจากหลวงพ่อทองสุก จ.สมุทรสาครจนลูกศิษย์ตามมาทวงคืน และกรณีที่ถูกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขับออกจากวัดปากน้ำภาษีเจริญมาซักค้านพยานด้วย ซึ่งพระอดิศักดิ์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของทนายจำเลยทั้งหมด
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งห้ามผู้สื่อข่าวนสพ.เดลินิวส์,ข่าวสดและสยามรัฐ เข้ามาภายในห้องพิจารณาคดีและลงโทษฐานละเมิดศาล โดยอ้างว่านสพ.ทั้ง 3 ฉบับโฆษณาคำเบิกความบิด เบือนข้อเท็จจริงและวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เสียความเป็นธรรมในการพิจารณาด้วย
    ส่วนนายไชยบูลย์และนายถาวรนั้น รายงานแจ้งว่าเดินทางพร้อมแกนนำและสาวกอีกจำนวน 400 กว่าคน โดยผู้ที่ไม่ได้เข้าฟังก็มายืน อยู่หน้าห้องราว 20 กว่าคน นอกจากนี้ระหว่างการพิจารณาคดีมีการส่งเสียงฮือแสดงความไม่พอใจหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อพยานกล่าวถึงความประพฤติผิดในกามและในช่วงที่มีการพูดถึง เรื่องอัดธรรมกายบนดอยสุเทพ ทำให้สาวกจำนวนหลายสิบคนทนฟังไม่ได้ เดินออกไปอยู่นอกห้องหรือบางคนก็เดินทางกลับไปเลย

เรื่องจริงที่ไม่เคยมีใครรู้ "วัดพระธรรมกาย "


ที่มา http://rabob.tripod.com/mati21.html
ที่มา http://mblog.manager.co.th/hanzen/1-3-2542/
อ่านเรื่องเต็ม ๆทั้งหมดได้ ที่่ http://www.oknation.net/blog/buddhacore/2012/04/04/entry-1



สัมภาษณ์ พระอิดศักดิ์ วิริยสกกโก อดีตพระเหรัญญิก วัดพระธรรมกาย แฉนิยายเรื่อง 'แม่ชีจันทร์ ขนนกยูง' หน้า 2 นสพ.มติชนรายวัน ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม 2541
Posted by ฉึกกะฉัก on December 24, 1998 at 12:49:14:

@สมัยที่อยู่วัดพระธรรมกายทำหน้าที่อะไรบ้าง  
ตอนนั้นเขาให้เป็นเหรัญญิก ใหม่ๆเงินทองทุกอย่างต้องฝ่านมืออาตมา แต่พอนานไปเป็นลักษณะอัตตาธิปไตย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามคำบัญชาของเจ้าอาวาส เมื่อเป็นเช่นนั้นอาตมาขี้เกียจเข้าไปยุ่ง ใครส่งเช็คมา ส่งเงินมาให้เซ็นก็เซ็นไปอย่างนั้น และการเซ็นชื่อต้องเซ็นสามคน คือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาส พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาส และอาตมา ตอนนั้นความคิดมีว่าคงไม่โกง ***เพราะเป็นพระนี่โกงเงินแค่บาทเดียวก็ปราชิกแล้ว ฉะนั้นจึงไม่หวาดระแวงว่าจะมีการโกง*** เซ็นเช็คให้เป็นปึกๆแล้วให้ไปเติมตัวเลขเอาเอง ส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคจากญาติโยมทั้งนั้น เดิมทุกอย่างจะทำอะไรมีการประชุมกัน แต่ตอนหลังไม่มี ใช้วิธีเจ้าอาวาสสั่งการ
@ทำไมจึงออมาจากวัดพระธรรมกาย  
ออกมาเพราะเรื่องเงินมีลับลมคมในมาก และนำเงินไปใช้ไม่ถูกประเภท ยกตัวอย่าง ขอเบิกเงินไป "ซื้อพระผู้ใหญ่"บางรูป เอาไว้ใช้งาน อาตมาก็ไม่ให้ เพราะตอนนั้นแรกๆอาตมาเป็นผู้เซ็นเช็ค เมื่ออาตมาไม่เซ็นจึงเกิดความปีนเกลียวกันขึ้น ตอนหลังออกดีกว่า
@พระผู้ใหญ่ที่ว่าไปซื้อหมายถึงใคร  
เรื่องนี้มีผู้รู้ดีคือ ท่านเมตตา นันโท ความคิดของเขา คือ ต่อไปพระองค์นี้จะเป็นใหญ่เป็นโต เอาเงินแค่นี้ไปซื้อไม่หนักหนาอะไร อาตมาให้เหตุผลว่าเป็นไปไม่ได้เพราะเงินนี้ประชาชนบริจาคมาเพื่อให้สร้างวัดทำบุญ ไม่ได้บริจาคมาให้ซื้อ"พระผู้ใหญ่" เจ้าอาวาสต้องการเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลก ซึ่งตรงข้ามกับปณิธานที่เคยคุยกันไว้ คือ มักน้อย สันโดษ ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเดียว แต่ในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเป็นหน้ามือหลังมือ
@เกี่ยวกับเรื่องแม่ชีจันทร์ ขนนกยูง เป็นผู้ก่อตั้งด้วยหรือไม่
 อยากคุยเรื่องนี้เหมือนกัน เห็นบอกว่าวันที่ 27 ธันวาคมนี้เป็นวันเกิด แม่ชีจันทร์ เขาประโคมให้ลูกศิษย์ลูกหาไปวันเกิดแม่ชีจันทร์ อาตมาอยากพูดเรื่องนี้มาก คือ ประวัติของยายจันทร์จริงๆ มีแม่ชีชื่อจันทร์จริง แต่คนที่วัดพระธรรมกายนี้เป็นเพียงแม่ชีธรรมดา ที่เคยเป็นคนรับใช้แม่ชีทองสุก ซึ่งเก่งในทางวิปัสสนาที่วัดปากน้ำ เมื่อแม่ชีทองสุกสิ้นไปแล้ว แม่ชีจันทร์คนนี้เลยสวมรอยตั้งตัวเป็นอาจารย์ บังเอิญนายไชยบูลย์ หรือพระธัมมชโย ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มมาเจอเข้าได้กราบไหว้เป็นครูบาอาจารย์ของตัวเอง ประกอบกับพระธัมมชโยไปอ่านหนังสือวิปัสสนาบันเทิงสารของ "แม่ชีวรมัย กบิลสิงห์" เลยอุปโลกน์กันขึ้นมาเขียนนิยายแม่ชีจันทร์นั่งสมาธิจนถอดร่างไปปัดระเบิดสมัย
สงครามโลกให้ไปตกที่ฮิโรชิม่าและนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นตายเป็นแสนๆคน แต่คนไทยปลอดภัย เป็นความดีใจ ภูมิใจของเยาแล้วโฆษณาเรื่องนี้มาตลอด
อยากถามคำเดียวว่าที่คนเรามีจิตวิปริตถึงขั้นปัดระเบิดปรมาณูไปฆ่าคนเป็นแสนนี้คือสิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ น่าภูมิใจหรือ ถ้าทำได้นะ แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นนิยายประโลมโลกที่แต่งขึ้นให้คนหลงเชื่อในอภินิหาร นี่มันบาปกรรมหันต์เลย
เขาอุปโลกน์ยายจันทร์คนนี้ขึ้นมาเป็นผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชชาธรรมกายมาจากวัดปากน้ำ มีฤทธิ์เดชสูงมาก สามารถเอากายมนุษย์พร้อมับอาหารขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน กับตัวจริงของพระพุทธเจ้านับอสงไขยพระองค์ มีการบอกกันว่าทำบุญกับพระพุทธเจ้า เช่น พระสมณโคดมยังไม่ได้บุญมากเท่ากับทำบุญกับพระพุทธเจ้าตัวจริงบนสวรรค์ที่มีอสงไขยพระองค์ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นการขายบุญ เป็นการมอมเมาขายบุญอย่างสิ้นคิด ทำให้คนหลงไปคิดว่าเป็นอย่างนั้นจริง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงไม่ต้องทำอะไรมาก เอาเงินไม่กี่บาทไปซื้อบุญแล้วไม่ต้องตกนรก
@เรื่องแม่ชีจันทร์ถอดกายไปปัดระเบิด แม่ชีจันทร์พูด หรือพระธัมมชโยพูด
นายไชยบูลย์เป็นคนเขียนนิยายร่วมกับแม่ชีจันทร์เพื่อหลอกลวงชาวบ้าน การนำข้าวที่ญาติโยมนำมาไปถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเป็นวิธีการ
เลี่ยงปาราชิกของนายไชยบูลย์ จึงเชิดหุ่นขึ้นมาเอายายชีนี่แหละเพราะไม่รู้เรื่องอะไร อ่านหนังสือก็ไม่ออก ความที่เรากำลังน้อยก็ได้แต่ซุบซิบกันเอง เพราะอิทธิพลเขามากทั้งการเงินการทอง
@เรื่องรูปปั้นหลวงพ่อสดทองคำ 1 ตัน เป็นอย่างไร
เป็นรายการ"ตกทอง" "ต้มตุ๋นเศรษฐี" บอกว่าเป็น"ทองคำบริสุทธิ์"ด้วยนะ เอามาหล่อรูปหลวงพ่อวัดปากน้ำ แต่ทำไม่ได้หรอก เพราะเทคโนโลยีเมืองไทยยังไม่ถึงขั้นที่จะไปหล่อทองมากมายขนาดนี้ แต่เป็นเทคนิคการหากินอย่างหนึ่งเท่านั้น อาตมาคุยกับช่างมาเยอะแยะแล้ว ช่างบอกว่าทำไม่ได้ เพราะทองระเหยความร้อนได้เร็วมากและหนืดตัว พอเทปุ๊บมันจะไม่ไหล การไหลตัวน้อยมาก อาตมาเคยลองทำแล้ว ทำได้อย่างสูงสุดแค่ 9 นิ้ว ถือว่าอัศจรรย์แล้ว แล้วเยอะแยะขนาดนี้ ใช้วิธีพลิกแพลง คือ"แหกตา"
อาตมาอยากให้ "มติชน" ช่วยเป็นสื่อกลางประกาศให้ญาติโยมที่เคยเสีย"ลูกสาว" เสีย"ภรรยา" เสีย"เงิน"ไป ให้ออกมาประกาศให้คนอื่นได้รับรู้อย่าอาย คนอื่นจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ จะได้รู้ตัวถอยฉากกลับไป เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย อาตมาก็เคยโดนหลอกมาแล้ว ยังไม่อาย อยากให้ออกมาแสดงตัวกันมากๆ แล้วขอร้องให้ญาติโยมทั้งหลายเปิดใจให้กว้างรับฟังเหตุผล แล้วพิจารณา
หมายเหตุ พระอดิศักดิ์ วิริยสกโก เป็นพระลูกวัดพระธรรมกายรุ่นบุกเบิกร่วมกับ พระธัมมชโย พระทัตตชีโว พระเมตตา นันโท ซึ่งเจ้าอาวาสได้ตั้งให้เป็นพระเหรัญญิกของวัดทำหน้าที่ดูแลด้านการเงิน ตอนหลังได้ออกจากวัดไปจำพรรณาที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นับเป็พระรุ่นบุกเบิกอีกรูปที่เปิดตัวออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย







ที่มา http://b2b2.tripod.com/dailynews/scoop19981217.htm


ศิษย์เอกออกซ์ฟอร์ด  เปิดม่านดำธรรมกาย
ใน บรรดาศิษย์เอกของวัดพระธรรมกาย ซึ่งดร.อภิญญา เฟื่องฟูสกุล อาจารย์ประจำ คณะสังคมวิทยามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้อ้างถึงในงานวิจัยเรื่องวัดพระธรรมกาย
ที่ได้รับการสนับสนุนการวิจัยศูนย์พุทธศาสนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้นพระรูปที่สำคัญคือ ท่านเมตตา นันโทภิกขุ ซึ่งได้รับปริญญาเกียรติ นิยมด้านภาษาสันสกฤตจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และกำลังศึกษาปริญญาเอก อยู่ในมหาวิทยาลัยฮัมบรู๊ก เพราะถือว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้ามาปรับปรุงวัดให้มีประสิทธิ ภาพ
    แต่วันนี้พระมโน เมตตานันโท หรือ อดีตนายแพทย์มโน เลาหวณิช หันหลังให้กับวัดพระธรรมกายแล้ว และเข้ามาเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกิจการพระพุทธศาสนาในเลขาธิการใหญ่องค์การสัมมนา ศาสนา
พระมโน กล่าวกับ "เดลินิวส์" ว่าเมื่อ 25 ปี ก่อนวัดพระธรรมกายเป็นวัดที่มีความอบอุ่น มีคุณยายจันทร์ ขนนกยูง เป็นหลัก แต่ต่อมาค่อยยกฐานะของพระให้สูงขึ้นเช่นเจ้าอาวาสจากหลวงพี่ไชยบูลย์ ธัมมชโย ก็ต้องเรียกว่าหลวงพ่อ
"คุณยายจันทร์มักจะเตือนสติหลวงพ่อธัมมชโยอยู่เสมอว่า ให้มักน้อย-สันโดษ อย่าไปขยายอะไรให้มันมาก นี่เป็นคำสอนประจำ พร้อมบอกว่าวัดนี้ต้องมีพระประจำอยู่มากที่สุดไม่เกิน 20 รูปเท่านั้น ไม่ทำอะไรอย่างอื่นนั่งสมาธิกัน คือปิดวัด เมื่อก่อนมีแต่ศาลาเล็กเป็นทั้งโบสถ์และศาลา จะใช้เพียงที่เดียว และตกลงกันว่าจะปฏิบัติ ธรรมกันโดยจะไม่มีการรบกวนญาติโยม มีการปลูกสวนผักไว้รับประ ทาน ยุคนั้นเป็นยุคแรกและเป็นยุคเดียวที่สงบและอบอุ่นประมาณปี 2518-2524 มีพระอยู่เพียง 8-10 รูป ขณะนั้นอาตมาเรียนแพทย์อยู่ ถวายกายถวายใจทุ่มเทให้วัด โดยไม่มีความสงสัยอะไรในตัววัดเลย เพราะช่วงนั้นเรื่องระบบการเงินก็โปร่งใส แต่ขณะนี้การจ่ายเงินอยู่ที่เจ้าอาวาสองค์เดียว"
      พระมโนบอกอีกว่าเมื่อวัดเริ่มขยายใหญ่ขึ้นมาจนเกิดการเปลี่ยนแปลง มาก โดยเฉพาะ เมื่อโทรศัพท์เข้ามา ความสะดวก ต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้น ทุกอย่างชักจะยุ่ง พระเริ่มมีการสั่งงานกันทางโทรศัพท์ ความใกล้ชิดกับพระสงฆ์ในวัดก็ลดน้อยลง และก็มีญาติโยมภายนอกโดยเฉพาะนักธุรกิจเข้ามามี บทบาทมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
       นอกจากนั้น จุดเปลี่ยนสำคัญของ วัดพระธรรมกายคือ การเข้าไปทำธุรกิจ โดยเมื่อปี 2525 ได้ตั้ง บริษัท ดูแวค ซึ่งรวบ รวมเอาญาติโยมที่เป็นแหล่งเงินทุนหลายคนร่วมด้วย และก็เริ่มมีการซื้อที่ดินขยายวัดไป 1,000 ไร่ โดยอ้างว่ามีเสียงดังรบกวนจากวัดใกล้เคียงทำให้ไม่มีสมาธิ
"อาตมานึกว่าจะดีแต่ก็ไม่เป็นดังที่คาด เพราะมีการกว้านซื้อที่ดินจนเกิดข้อพิพาทกันเป็น 2,600 ไร่ และมีการซื้อที่อีกมากมายที่ต่างจังหวัด อย่างเช่น ที่เชียงใหม่ 4,000 ไร่, ศรีสะเกษประมาณ 8,000 ไร่และที่ตามอุทยานแห่งชาติอีก"
      ขณะเดียวกันเจ้าอาวาสก็เปลี่ยนไปมาก จนน่าตกใจ พร้อม ๆ กับการเสื่อมอายุสังขารของคุณยายจันทร์ สุดท้ายคุณยายจันทร์กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัดไป
"อาตมาโชคดีกว่าใครเพื่อน สอบเข้าได้ไปเรียนที่ออกซ์ฟอร์ด ทางวัดก็เห็นช่องทางในการสร้างชื่อเสียง ก็เลยส่งเสริมเป็นอย่างดี อาตมาจะเขียนจดหมายจากประเทศอังกฤษเพื่อเจริญศรัทธา อาตมาได้สร้างโครงการพระไตรปิฏกคอมพิวเตอร์คนแรก เพราะชอบเรียน เมื่อตอนอยู่จุฬาฯ ปี 2 เราก็รู้หลักว่าเครื่องนี้มันใช้ได้ จนในที่สุดหลวงพ่อก็ลงนามเซ็นโครง การ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2527 อาตมาก็เริ่มลงมือทำ บริษัทที่มาช่วยคือ เดต้าแมท ก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง"
    พระมโนเล่าให้ฟังอีกว่าในปี 2530 เมื่อเรียนจบก็เดินทางกลับเมืองไทย เรื่องวัดพระธรรมกายกำลังดัง การกลับมาครั้งนี้ทำให้รู้สึกสลดใจมาก เพราะได้เห็นอะไรหลายอย่าง ในเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวพันกับวัดพระธรรมกาย ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว "ต่อมาก็มีธุรกิจค้าที่ดิน โครงการตะวันธรรมและโครงการอะไรต่อมิอะไรอีกมาก โดยเฉพาะเกี่ยวกับโครงการสวนป่า คือ ให้มีการเวนคืนที่บริเวณล้อมรอบวัด โดยให้วัดเป็นไข่แดง จากนั้นก็ปลูกป่าโดยรอบ ด้วยการใช้เงินของราชการ แต่เรื่องก็ตกไปเพราะกรรมการเขาสงสัยว่ามันมีเลศนัย ว่าทำไมต้องทำกันใหญ่ขนาดนี้"
      นอกจากนั้น ในสมัยที่ นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรได้มีการผลักดันโครงการอบรมเยาวชน ที่เขาใหญ่ ที่มีกำหนดสร้างอาคารให้เสร็จภายใน 72 ชั่วโมง และมีลูกศิษย์ของวัด ซึ่งเป็นข้าราชการในกรมป่าไม้ ผลัก ดันและสนองนโยบาย โดยได้มีการโทรศัพท์มาที่วัดพระธรรมกาย ให้เกณฑ์คนมาทำเสร็จตามกำหนด ครั้งนั้นมี พระชิดชัย ชิโต ซึ่งจบวิศวบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดูแลควบคุมการก่อสร้าง
     พระมโนรำลึกถึงความหลังอีกว่าใน ปี 2525-2526 มีเรื่องเกิดขึ้นเกี่ยวกับพระชิดชัย ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่จุฬาฯ ของพระมโน โดยพระชิดชัยทำงานหนักอาบเหงื่อต่างน้ำทุ่มเทเพื่อวัดทุกอย่างโดยไม่มี เงื่อนไข ไม่หลับไม่นอน แต่พระชิโตเริ่มมีอาการทางจิต พระมโนปรึกษากับพระหลายรูปว่า ต้องส่งท่านไปโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ก็มีการต่อต้านว่าการส่งพระชิโต ไปโรงพยาบาลเป็นการทำลายวัด เพราะวัดที่ฝึกจิตกลับมีพระที่มีอาการทางจิต "สุดท้ายอาตมาและพวกได้นำท่านไปโรงพยาบาล พอหายแล้วก็กลับมา แต่ไม่ได้รับความสนใจเหมือนไม่มีท่านอยู่ในวัด ไม่ทักไม่พูดโดนบีบสารพัดอย่าง ทำให้ท่านคิดมากกินยาคืนวันจันทร์ พบศพวันอังคารเช้าที่กุฏิ ทางวัดได้ปิดเรื่องนี้เงียบ ตอนนั้นก็ได้เรียนท่านนายอำเภอ  
               หลวงพ่อทัตตชีโวเป็นคนจัดการ เจ้าอาวาสไม่อยู่ร่วมไปขึ้นดอย ก็มีการจัดงานศพ รดน้ำ ทำพิธีต่าง ๆ ที่ศาลา"หลังจากกลับจากลอยเถ้ากระดูก เถ้าอังคารพระชิโต ที่ชลบุรี พระมโนกล่าวว่ารู้สึกวัดนี้ไม่ใช่วัดแล้ว ผิดทางวิธีการบริหารเริ่มมีปัญหามาก เวลาประชุมก็เงียบไม่พูดกัน เริ่มแตกเป็นเสี่ยง ๆ พระก็เริ่มจับกลุ่ม เกิดจากเรื่องความไม่ไว้วางใจมากขึ้น ๆ
       ปี 2530-2531 ภาวะวัดย่ำแย่ พระข้างในรวมตัวกันไม่ติด พระบางรูปเกิดความสับสน การปกครองไปไม่ทั่วถึง มีกฎเหล็กคือกางเกงเหล็ก ใครสวมได้ปฏิบัติตามได้ก็อยู่ได้ สวมไม่ได้ ปฏิบัติตามไม่ได้ก็ออกจากวัดไปและนับจากนั้นมา พระมโนจึงออกจากวัดพระธรรมกาย และไม่ได้หันกลับเข้าไปหาอีกเลย...

ภาพพายุถล่มวัดพระธรรมกาย ช่วงบรรพชาอุปสมบทหมู่แสนรูป











ชาวเน็ตโพสต์ภาพพายุถล่มวัดพระธรรมกาย ช่วงบรรพชาอุปสมบทหมู่แสนรูป สงสัยได้เงินบริจาคเยอะ แต่สร้างอาคารสถานที่ไม่ทนทาน
(3 เม.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในห้องศาสนา เว็บไซต์พันทิปดอทคอม มีผู้โพสต์กระทู้ในหัวข้อ "พายุถล่มวัดพระธรรมกาย วันที่ 31 มีนาคม 2555 ระหว่างพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ครั้งที่ 5" พร้อม ระบุว่า ที่วัดพระธรรมกาย มีพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ครั้งที่ 5 โดยในช่วงเช้ามีพิธีเวียนประทักษิณที่ลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์ ในช่วงบ่ายมีพิธีขอศีล ขอนิสัย ที่สภาธรรมกายสากล โดยในระหว่างที่กำลังกรวดน้ำ ได้มีพายุลมฝนและลูกเห็บ พัดกระหน่ำเข้าสู่สภาธรรมกายสากล และบริเวณอื่นๆ ในวัดอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายมากมาย สร้างความตระหนกตกใจ ให้แก่ผู้ร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง
       ทั้งนี้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า วัดธรรมกาย ซึ่งได้รับเงินบริจาคจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ในการก่อสร้างอาคารต่างๆ โดยเฉพาะหลังคาของสภาธรรมกายสากล ซึ่งทำจากเหล็กแผ่นมีสภาพบาง ทั้งที่การก่อสร้างในส่วนของโมดูลนั้นใช้งบประมาณกว่า 5 ล้านบาท แต่สภาพที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ไม่ได้ทนทานแต่อย่างใด
      ด้านพระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์ วัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่าภาพที่ปรากฏในเว็บไซต์พันทิป มาจากลูกศิษย์ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก แล้วก็เอาไปฟอร์เวิร์ดกันต่อในเว็บไซต์พันทิป เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เวลาประมาณ 16.00 น. หลังเสร็จพิธีบรรพชา ในโครงการธรรมทายาท 1 แสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ครั้งที่ 5 เรียบร้อยแล้ว อยู่ในช่วงถ่ายภาพประวัติศาสตร์ที่สภาธรรมกายสากล ซึ่งภาพอย่างที่เห็นน่าจะเป็นพายุฤดูร้อน มีลมพายุและฝนเข้ามา เพราะช่วงก่อนหน้านั้นอากาศร้อน อุณหภูมิค่อนข้างสูง มีผลทำให้บางส่วนของหลังคาสภาธรรมกายสากลเปิด แต่ไม่กระทบพื้นที่หลักที่ใช้จัดงานบุญ และเป็นเรื่องน่ายินดีไม่มีคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
อย่างไรก็ตามยังไม่มีการประเมินสภาพความเสียหาย และการซ่อมแซม เพราะติดพิธีเดินธุดงค์ธรรมชัย ซึ่งบางส่วนที่เห็นในภาพเป็นเพียงนั่งร้าน หรือโครงเหล็กชั่วคราวที่ใช้ขึง เพื่อกันแดดในงานบุญใหญ่ ซึ่งเตรียมเก็บงานอยู่แล้วเมื่อเสร็จพิธีบรรพชา
ที่มา
http://www.manager.co.th/politics/viewnews.aspx?NewsID=9550000042234
สมาชิก “พันทิป” โพสต์ภาพพายุถล่มวัดพระธรรมกาย ช่วงบรรพชาอุปสมบทหมู่แสนรูป “สภาธรรมกายสากล” หลังคาทะลุ-ยุบ คาดโมดูลบาง ไม่ทนทาน ด้านพระฝ่ายประชาสัมพันธ์วัด ยอมรับหลังคาเปิดบางส่วนจริง แต่ไม่กระทบพื้นที่หลักที่ใช้งาน ยืนยันไม่มีใครบาดเจ็บ แต่ถ่ายภาพหมู่ไม่ได้เพราะฝนตกต่อเนื่อง ต้องเลื่อนเป็นวันรุ่งขึ้น
      
       เมื่อวันที่ 31 มี.ค.55ที่ผ่านมา ในห้องศาสนา เว็บไซต์พันทิปดอตคอม ผู้ใช้นามแฝง “สิทธิเฉียบขาด” โพสต์กระทู้ในหัวข้อ “พายุถล่มวัดพระธรรมกาย วันที่ 31 มีนาคม 2555 ระหว่างพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ครั้งที่ 5” ระบุว่า ที่วัดพระธรรมกาย มีพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ครั้งที่ 5 โดยในช่วงเช้ามีพิธีเวียนประทักษิณที่ลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์ ในช่วงบ่าย มีพิธีขอศีล ขอนิสัยที่ สภาธรรมกายสากล โดยในระหว่างที่กำลังกรวดน้ำ ได้มีพายุลม ฝน และ ลูกเห็บ พัดกระหน่ำเข้าสู่สภาธรรมกายสากล และบริเวณอื่นๆ ในวัดอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายมากมาย สร้างความตระหนกตกใจ ให้แก่ผู้ร่วมพิธีเป็นอย่างยิ่ง บริเวณสภาธรรมกายสากลถึงขั้นหลังคาทะลุ บางจุดหลังคายุบ พื้นลานธรรมโดยรอบมหาธรรมกายเจดีย์พัง พร้อมโพสต์ภาพบรรยากาศที่เกิดขึ้น โดยได้ตั้งข้อสังเกตว่า หลังคาของสภาธรรมกายสากล ซึ่งทำจากเหล็กแผ่น หรือเมทัลชีต มีสภาพบาง ทั้งที่การก่อสร้างในส่วนของโมดูลนั้นใช้งบประมาณ 5 ล้านบาท
      
       นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้นามแฝงบางคนได้ยกข้อความจากเว็บไซต์วัดพระธรรมกาย ที่ระบุว่า เนื่องจากสิ่งก่อสร้างทุกอย่างในวัดพระธรรมกาย ล้วนมาจากเงินบริจาคที่เกิดจากความศรัทธาของพุทธศาสนิกชน การก่อสร้าง และดูแลสภาธรรมกายสากลอาศัยหลัก “ประหยัดสุด ประโยชน์สูง และคงทนถาวร” หมายความว่า สิ่งก่อสร้างทุกอย่างจะสร้างเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ เมื่อสร้างแล้วต้องสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด และคงทนถาวร ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบำรุงรักษา และตั้งข้อสงสัยว่าสภาพที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ทนทานแต่ อย่างใด
      
       อย่างไรก็ตาม วันนี้ (3 มี.ค.) พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์ วัดพระธรรมกาย ชี้แจงกับผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการออนไลน์ ระบุว่า เหตุการณ์ในวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา สภาพที่ปรากฏในเว็บไซต์พันทิป ก็มาจากลูกศิษย์ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก แล้วก็เอาไปฟอร์เวิร์ดกันต่อในเว็บไซต์พันทิป ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเวลาประมาณ 16.00 น.หลังเสร็จพิธีบรรพชา ในโครงการธรรมทายาท 1 แสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ครั้งที่ 5 เรียบร้อยแล้ว อยู่ในช่วงถ่ายภาพประวัติศาสตร์ที่สภาธรรมกายสากล ซึ่งภาพอย่างที่เห็นน่าจะเป็นพายุฤดูร้อน มีลมพายุและฝนเข้ามา เพราะช่วงก่อนหน้านั้น อากาศร้อน อุณหภูมิค่อนข้างสูง มีผลทำให้บางส่วนของหลังคาสภาธรรมกายสากลเปิด แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบพื้นที่หลักที่ใช้จัดงานบุญ ซึ่งจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 1 เม.ย.แต่ประการใด เนื่องจากพื้นที่สภาธรรมกาย รวมแล้วประมาณ 300,000 ตารางเมตร
      
       “น่ายินดีว่า ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว อันนี้ยืนยัน เพราะหลวงพี่อยู่ในเหตุการณ์ด้วย เพราะกำลังถ่ายภาพหมู่เป็นประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถถ่ายได้ตามปกติ อุปสรรค มีเล็กน้อย คือ ไม่สามารถถ่ายภาพประวัติศาสตร์ ที่ลานธรรม มหาธรรมกายเจดีย์ ในช่วงเย็นได้ เพราะฝนตกลงมาตลอด จึงได้เลื่อนถ่ายภาพหมู่ มาเป็นวันอาทิตย์ที่ 1 เม.ย.แทน” พระสนิทวงศ์ กล่าว
      
       ส่วนการประเมินสภาพความเสียหายและการซ่อมแซมนั้น พระสนิทวงศ์ กล่าวว่า สภาพความเสียหาย ยังไม่ได้มีการประเมิน เพราะติดพิธีเดินธุดงค์ธรรมชัย และเป็นในส่วนของฝ่ายก่อสร้างของวัดเป็นผู้ดำเนินการ อย่างไรก็ตาม บางส่วนที่เห็นในภาพ เป็นเพียงนั่งร้านหรือโครงเหล็กชั่วคราวที่ใช้ขึงซาแลน เพื่อกันแดดในงานบุญใหญ่ ซึ่งเตรียมเก็บงานอยู่แล้วเมื่อเสร็จพิธีบรรชาดังกล่าว