ตะเพิดพระจอมแฉพ้นวัดปากน้ำ
"ต่างประเทศ" เตรียมสอบข้อเท็จจริงธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายได้สัญชาติอเมริกัน
ชี้มีแค่3ทาง เกิด-แต่งงาน-แปลงชาติ ด้านสรรพากรเดินหน้าสอบภาษีย้อนหลังธุรกิจวัด
พระธรรมกายและบ.รับเหมาสร้างมหาธรรมกายเจดีย์แล้วแจงพระต้องเสียภาษีรายได้บุคคล
ธรรมดาด้วย พบหลักฐานมูลนิธิพระธรรมกายมีเงินรายได้มหาศาลแต่ยื่นขอหักภาษีแค่ 2 แสนบาท สรรพากรย้ำตรวจพบทุจริตภาษีเจอคุกแน่.
เจ้าอาวาสวัดปากน้ำฉุนพระอดิศักดิ์ วิริยสะโก
แฉพฤติกรรมธัมมชโยออกทีวี ขับออกจากวัดแล้ว พระพยอมอ้าแขนรับทันที
จากกรณีที่นายอรรถสิทธิ์ ทรัพย์สิทธิ์ โฆษกกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนราษฏร์ได้เปิดแถลงข่าวแฉ
เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ธัมมชโย ถือสัญชาติอเมริกัน และท้วงติงว่า หากพระรูปนี้ถูกสังคมกดดันมากๆ อาจหอบทรัพย์สินเงินทองหนีไปอยู่เมริกาก็ได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอานุภาพ ทวินทร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงข่าวอื้อฉาวกรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พระธัมมชโย ถือสัญชาติไทยและอเมริกัน ว่า ขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลดูว่าจะมีส่วนใดบ้างที่เป็นการขัดต่อกฏหมายไทยหรือขัดต่อระเบียบว่าด้วยความมั่นคงของชาติ หากไม่มีอะไรเสียหายคนไทยทุกคนก็สามารถือได้ทั้งสองสัญชาติ จะมีอยู่กรณีเดียวคือ ได้สัญชาติอื่นด้วยวิธีการแปลงชาติ ซิ่งวิธีนี้บุคคลดังกล่าวจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาขอสละสัญชาติไทยก่อน และเมื่อได้แปลงเป็นสัญชาติอื่นไปแล้วกฏหมายไทยกำหนดไว้ชัดว่า กรณีถ้าเป็นผู้ชายห้ามแปลงกลับมาเป็นคนสัญชาติไทยอีกกรณีของพระธัมมชโย ที่มีข่าวได้สัญชาติอเมริกัน นั้น กระทรวงการต่างประเทศคงต้องตรวจสอบดูว่ากฏหมายอเมริกันเปิดช่องให้ถือได้ทั้งสัญชาติไทยและอเมริกันหรือไม่ เช่น ถ้านำเงินไปลงทุนตามจำนวนที่ทางการสหรัฐอเมริกากำหนด เช่นถ้านำเข้ามาลงทุน1ล้านดอลลาร์จะได้สิทธิ์อย่างไรบ้าง หรือถ้าเกินไปกว่านั้นยังจะได้สิทธิ์พิเศษอะไรเพิ่มเติมบ้าง พร้อมกับมา
ดูกฏหมายสัญชาติของไทยว่าเปิดช่องไว้อย่างไรบ้างทั้งนี้ ตามกฏหมายสัญชาติของไทยก็ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้3หลักใหญ่ๆคือ
1.ได้สัญชาติโดยการเกิดเนื่องจากพ่อแม่เป็นคนไทย หรือเวลาเกิดไปเกิดในประเทศนั้นๆ เช่น แม่พาไปคลอด เป็นต้น
2.โดยวิธีการแต่งงานกับคนในประเทศนั้น ๆ
3.โดยวิธีการแปลงชาติ
สำหรับกรณีของหลวงพ่อวัดพระธรรมกายนั้นไม่ใช่ 2 วิธีการแรกแน่ๆเพราะพ่อแม่เป็นคนไทย อีกทั้งยังเป็นพระภิกษุจึงแต่งงานไม่ได้ มีทางเดียวที่จะได้สัญชาติอเมริกันคือแปลงชาติซึ่งวิธีการนี้กฏหมายไทยกำหนดไว้ชัดเจนว่าให้เลือกถือเพียงสัญชาติเดียวจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาขอสละสัญชาติไทยก่อนเป็นเวลา 30 วัน จากนั้นเมื่อแปลงไปแล้วห้ามแปลงกลับมาเป็นคนไทยเหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้จะชี้มูลว่าพระผิดหรือไม่ผิด ไม่ได้ ต้องไปดูกฏหมายอเมริกัน
ประกอบกันว่าการให้สัญชาติอเมริกันกับพระธัมมชโย นั้น เป็นเพราะเงื่อนไขข้อใด และจะเข้าข่ายกระทำผิดกฏหมายสัญชาติไทยหรือไม่
ด้านนายองอาจ คร้ามไพบูลย์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกรทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การสอบสวนข้อเท็จจริงการถือสัญชาติอเมริกันของพระธัมมชโย นั้น พร้อมที่จะสอบทันทีตอนนี้กำลังรอทางตำรวจสันติบาล สภาความมั่นคงแห่งชาติหรือกรรมาธิการศาสนา สภาผู้แทนฯ ร้องขอมา
นายเชาวน์ ศรีกมล สรรพกรจังหวัดปทุมธานีเปิดเผยถึงการชำระภาษีของมูลนิธิวัดพระธรรมกายสืบเนื่องมาจากกรณีที่กรมทำเบียนการค้าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า วัดพระธรรมกายมีการจัดตั้งมูลนิธิและพระหลายรูปในวัดก็มีธุรกิจส่วนตัวมากมายรวมๆ แล้วกว่า 100 บริษัท มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก เช่น คอนโดมิเนียม อาคารที่พักสงฆ์ และมหาธรรมกายเจดีย์ ที่ใช้เงินลงทุนนับหมื่นล้านบาทรวมถึงกรณีที่อดีตพระลูกวัดออกมาระบุว่า มีเงินนับพันล้านบาทที่ได้จากการบริจาคของชาวบ้านนั้น เรื่องนี้ทางผู้บริหารกรมสรรพากรหลายฝ่ายต่างให้ความสนใจมาก
และต้องการจะรู้ว่าพระและมูลนิธิวัดพระธรรมกายได้ชำระภาษีรายได้ให้รัฐหรือไม่
สืบเนื่องจากประกาศของกระทรวงการคลังได้กำหนดไว้ชัดเจนว่า พระที่ทำธุรกิจส่วนตัวและรายได้ของมูลนิธิวัดพระธรรมกายเองไม่ได้รับการยกเว้นภาษีตามประกาศแนบท้ายของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง สำหรับภาษีที่กรมสรรพากรกำลังเข้าไปตรวจสอบประกอบด้วย
1.ภาษีรายได้นิติบุคคล
2.ภาษีรายได้บุคคลธรรมดาของพระในวัด
3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
4.ภาษีรายได้ธุรกิจเฉพาะ ซึ่งทั้ง4ประเภทนี้จากการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีย้อนหลังพบว่า
นับตั้งแต่ปี 2526-2540 ที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายยื่นขอเสียภาษีมาเพียงอย่างเดียวคือ ภาษีรายได้จากมูลนิธิ โดยตัวเลขล่าสุดยื่นเสียภาษีมาเพียง 204,125.60 บาท เมื่อหักเป็นภาษีที่ต้องชำระให้แก่รัฐแล้วมีไม่เกิน 10,000 บาท.
ในส่วนของการก่อสร้างคอนโดมินเนียม-มหาธรรมกายเจดีย์ ตอนนี้กรมสรรพากรกำลังตรวจสอบดูว่าเป็นของวัดหรือของมูลนิธิและได้จดทะเบียนก่อสร้างกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไว้ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเท่าที่ทราบพบว่าไม่ได้ขออนุญาติไว้แต่อย่างไรก็ตามประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างธุรกิจ
ของวัดทั้งหมดนี้ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ ซึ่งหากปรากฏว่าไม่มีการชำระภาษีก็มีความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษี สำหรับในส่วนที่ยื่นเสียภาษีไปแล้วหากตรวจย้อนหลังกับไปแล้วพบว่า เงินรายได้ที่ยื่นเสียภาษีไปกับรายได้จริงไม่ตรงกันทางกรมสรรพากรก็จะต้องประเมินภาษีใหม่ แล้วแจ้งให้วัดชำระภาษีเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนด
นายเชาวร์กล่าวว่า การเข้าตรวจสอบภาษีของวัดพระธรรมกายนั้น ทางสรรพกรได้ขอความร่วมมือจากทางวัดและมูลนิธิเพื่อขอให้ส่งข้อมูลเอกสารภาษีซื้อ ภาษีขาย และหลักฐานต่างๆมายังกรมสรรพากรโดยเร่งด่วนแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเข้าไปจับผิดทางวัดและมูลนิธิ แต่เป็นการเข้าไปประสานความร่วมมือ สิ่งใดที่วัดหรือมูลนิธิได้ทำถูกต้องแล้วจะได้ประสานให้ดำเนินการต่อไป สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยังทำไม่ถูกต้องก็จะได้ชี้แจงทำความเข้าใจทำให้เกิดความถูกต้อง แต่ตลอดระยะที่ผ่านมาวัดพระธรรมกายยังไม่ได้ส่งข้อมูลอะไรมาอย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย ครั้งล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้ส่งนายโกวิทย์ สุบรรณพงษ์ สมุหบัญชีสาขา เข้าไปขอข้อมูล แต่ก็ยังเหมือนเดิม มีเพียงทางวัดมอบหมายให้นางเครือวัลย์
แนบชิด เจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกาย มาชี้แจงและขอระยะเวลาสักระยะหนึ่งสำหรับรวบรวมข้อมูลหากเสร็จแล้วจะแจ้งให้ทางสรรพากรรับทราบ เมื่อได้รับทราบว่าทางตัวแทนวัดขอเลื่อนส่งข้อมูลออกไปอีกอย่างไม่มีกำหนดตนจึงได้ผ่อนผันให้ยื่น ภายในวันที่ 12-15 มกราคม 2542 ซึ่งหากภายในกำหนดนี้วัดยังไม่มอบหลักฐานภาษีซื้อภาษีขายและรายงานบัญชีรับ-จ่ายให้กรมสรรพากรได้ตรวจสอบแล้วก็จำเป็นที่จะต้องใช้ไม้แข็งคือ ออกหนังสือเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรและถ้ายังไม่ส่งมอบมา
อีกก็ต้องมีบทลงโทษตามขั้นตอนของกฏหมายต่อไป
ส่วนที่มองกันว่าจะมีการหลบเลี่ยงภาษีนั้นคงไม่น่าเป็นห่วงเพราะกรมสรรพากรสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งการจะปลอมแปลงเอกสารก็เช่นกันสามารถตรวจสอบได้ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะการกระทำเช่นว่านี้เป็นการผิดทางอาญา ทางวัดคงไม่ทำแน่ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทางกรมสรรพากรไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัดกับพระ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของศาสนาและเชื่อด้วย
ความบริสุทธิ์ใจว่าคงไม่มีวัดหรือพระที่ไหนกระทำผิดกฏหมาย แต่วัดพระธรรมกายถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นที่สนใจของประชาชน อีกทั้งที่วัดแห่งนี้พระสงฆ์ก็มีข่าวปรากฏออกมาแปลกๆ คือ แทนที่จะเป็นผู้ซึ่งตัดแล้วซึ่งทางโลก แต่พระของวัดนี้กลับไปทำธุรกิจหรือไปลงทุนมากมายดูแล้วขัดกับความรุ้สึกของ ประชาชนทั่วไปอย่างมาก ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ เวลา 13.00 น สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ให้สัมภาษณ์ถึงสาเหตุที่ต้องให้พระอดิศักดิ์ วิริยธกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ออกไปจำพรรษาที่วัดอื่นว่า อาตมายอมรับว่าต้องไล่พระอดิศักดิ์ออกจากวัด ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากกรณีการไปบันทึกรายการไอทีวีทอล์ค ของสถานีโทรทัศน์เสรี โดยก่อนหน้าที่จะเดินทางออกจากวัดไปบันทึกรายการ พระอดิศักดิ์ได้มาลาขออนุญาตอาตมา ซึ่งอาตมาก็ได้บอกกล่าวไปว่าอนุญาตให้ไปออกรายการได้ หากแต่การตอบคำถามในประเด็นต่างๆจะต้องไม่พาดพิงผู้อื่นทั้งสิ้น อนุญาตให้พูดได้แต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเท่านั้น
"อาตมาต้องยึดมั่นคำสัตย์ เมื่อปรากฏว่าการไปบันทึกรายการดังกล่าว พระอดิศักดิ์ไม่รักษาคำพูดที่รับคำจากอาตมาไว้ อาตมาจำเป็นต้องให้พระอดิศักดิ์ออกไปเสียจากวัดปากน้ำ โดยมีระยะเวลาในการ เตรียมตัวขนย้ายออกไปภายในเวลา 3 วัน"
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้ติดต่อขอสัมภาษณ์พระอดิศักดิ์ เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น หากแต่ได้รับการปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ กล่าวเพียงว่าทุกเรื่องที่ผู้สื่อข่าวต้องการทราบ อาตมาได้เปิดเผยไปจนหมดสิ้นแล้ว เวลานี้คงไม่มีข่าวที่จะให้อีกแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากการสอบถามพระใกล้ชิดหลายองค์ทราบว่า พระอดิศักดิ์ได้ถูกตามตัวให้ไปพบเจ้าอาวาสเป็นการด่วน ภายหลังจากที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีได้แพร่ภาพรายการไอทีวีทอล์คออกไป ซึ่งเป็นการเรียกพบเพียงลำพังสององค์ ใช้เวลาในการสนทนาไม่ถึง 5 นาที พระอดิศักด์ก็กลับมาจำวัดที่กุฏิเก็บตัวเงียบตลอดเวลา ผู้ที่ได้พบเห็นต่างคาดการณ์ว่าพระอดิศักดิ์คงถูกไล่ออกจากวัดเป็นแน่แท้อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าพระอดิศักดิ์คงจะไปขอจำวัดอยู่ที่วัดสวนแก้วโดยก่อนหน้านี้พระพิศาลธรรมวาทีหรือพระพยอม กัลยาโณ ประธานมูลนิธิวัดสวนแก้ว ได้แสดงความจำนงที่จะรับพระอดิศักดิ์ ให้สามารถมาจำวัดที่วัดสวนแก้วได้ ซึ่งพระอดิศักดิ์ก็ได้หารือกับพระพยอมแล้ว จึงเป็นที่ทราบกันว่าพระอดิศักดิ์จะไปขอจำวัดที่วัดสวนแก้วค่อนข้างแน่นอนแล้ว
นอกจากนี้ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า พระอดิศักดิ์คงจะถูกไล่ออกจากวัดปากน้ำภาษีเจริญเป็นแน่ ถ้ายังไม่ยอมหยุดการให้ข่าวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ได้มีญาติโยมที่นับถือและศรัทธาในความมุ่งมั่นปฏิบัติธรรมตามลอยพระพุทธศาสนาของพระอดิศักดิ์ ขอถวายที่ดินจำนวน 70 ไร่ที่จังหวัดเพชรบุรี ให้พระอดิศักดิ์ไว้ก่อสร้างวัดขึ้นใหม่ พร้อมกันนี้ได้มีผู้มีจิตศรัทธาอีกจำนวนหนึ่งแสดงความจำนงที่จะร่วมทำบุญสร้างวัดใหม่กับพระอดิศักดิ์ด้วย
"ขอคุณโยมอย่าได้นำเอาชื่ออาตมาไปลงในหนังสือพิมพ์เลย สิ่งที่สอบถามอาตมามานี้ก็ตอบให้ตามความเป็นจริงทุกประการ อาตมารู้สึกเห็นใจพระอดิศักดิ์ที่ต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ แน่นอนว่าพระอดิศักดิ์มีความกตัญญูรู้คุณหลวงพ่อที่เป็นพระอุปปัญชาบวชให้ คงไม่กล้าออกมาให้ข่าวได้ แต่ก็เชื่อในความวิริยะอุต สาหะของพระอดิศักดิ์และพุทธศาสนิกชนจะสามารถสร้างวัดใหม่ได้ในไม่ช้าไม่นานนี้"
นายอาคม เอ่งฉ้วน รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ขณะนี้หลายเรื่องที่ปรากฎเป็นข่าวยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีข้อเท็จจริง เป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการตนได้มอบหมายให้นายสุวัฒน์ เงินฉํ่า รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด โดยคณะกรรมการจะมีการประชุมนัดแรกวันที่ 8 ม.ค. เวลา 9.00 น. เพื่อหารือในประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างน้อย 5 เรื่อง โดยเรื่องแรกเป็นเรื่องคําสอนของวัดพระธรรมกาย ต่อมาเป็นอภินิหาร ที่มีการกล่าวมากว่าผู้ใดเข้าไปปฎิบัติธรรมในวัดพระธรรมกายแล้วจะสามารถมอง ดวงอาทิตย์แล้วเห็นหลวงพ่อสดสด ด้วยตาเปล่าได้ เรื่องที่สามคือเรื่องของการรับบริจาค ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตมากว่าเงินที่บริจาคเข้าไปใครเป็นผู้ดูแลระหว่างวัด กับมูลนิธิ
เรื่องที่สี่เป็น เรื่องเกี่ยวกับที่ดิน เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าชื่อเจ้าของที่ดินคือชื่อของเจ้าอาวาส และวัดพระธรรมกายก็มีการขยายสาขาไปทั่วประเทศที่ดินจึ่งมีทั้งซื้อมาและรับ บริจาค ดังนั้นหากเป็นชื่อเจ้าอาวาสจริงก็ควรดําเนินการโอนให้เป็นของวัดเสียให้ถูก ต้อง และประเด็นสุดท้ายคือประเด็นการไปลงทุนต่างประเทศ และข่าวที่ว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายมีสัญชาติเป็นอเมริกันด้วย
"ประเด็นต่างๆเหล่านี้เป็นประเด็นที่คณะกรรมการจะต้องตรวจสอบให้ละเอียดทั้งที่ผมจะไปกําหนดเงื่อนเวลา ผมอยากให้คณะกรรมการทํางานอย่างอิสระและเป็นไปด้วยความรอบคอบ"นายอาคม กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งโทรเลขด่วนถึงสถานฑูตไทย ประจำ กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีข่าว พระธัมมชโย ได้โอนสัญชาติเป็นอเมริกันและมีธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯด้วยนั้น โดยให้ตรวจสอบกับหน่วยงานของสหรัฐ อาทิ สำนักทะเบียนราษฎร์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งในชั้นต้นได้ตั้งข้อสังเกตว่าเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อาจข้อได้เพียง
กรีนการ์ดเท่านั้น เพราะการโอนสัญชาติเป็นเรื่องที่ทำได้อยาก จะขัดต่อหลักการของบุคคลที่จะต้องถือสัญชาติเดียว หากจะถือสองสัญชาติจำเป็นต้องสละอีกสัญชาติหนึ่งไป รวมทั้งการโอนสัญชาติสามารถทำได้โดยการเกิดในสหรัฐหรือทำการสมรสกับคนอเมริกัน หรือมีถิ่นพำนักถาวรในสหรัฐโดยมีธุรกิจที่ต้องลงทุนในสหรัฐ
แหล่งข่าวกล่าวว่าการขอกรีนการ์ดจะทำได้ง่ายกว่า โดยวิธีการร้องขอของคนต่างชาติจะต้องเข้าไปติด ต่อที่บริษัทกฏหมายในอเมริกา บริษัททนายจะให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการอ้างเหตุผลต่างๆ เช่น มีการลงทุนทำธุรกิจในสหรัฐ จึงต้องการกรีนการ์ด เพื่อความสะดวกในการเดินทางเข้าออกและพำนักในอเมริกา ทั้งนี้จะทราบแน่ชัดว่าพระธัมมชโยถือสัญชาติอเมริกันด้วยหรือไม่ อย่างช้าในวันนี้ 8 มกราคมนี้จะทราบผลที่ชัดเจน
ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 7 ม.ค. นายวรัญชัย โชคชนะ แกนนำกลุ่มพุทธศาสนิกชนไทยพร้อมพวก ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อ พล.ต.ต.อดิศร นนทรีย์ ผบก.ป. เพื่อขอให้ทำการสืบสวนหาข้อเท็จจริงตามที่มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมอัน ไม่เหมาะสมของเจ้าอาวาสวัดธรรมกาย โดยมีประเด็นที่ทางกลุ่มตั้งข้อสงสัยให้สืบสวนสอบสวนคือ
1.จำนวนเงินที่ได้รับบริจาคและรายจ่าย
2.จำนวนที่ดินในลักษณะต่าง ๆ ทั้งขนาด ราคา และเจ้าของ
3.การทำธุรกิจหุ้นส่วนกว่า 100 บริษัทรวมทั้งการลงทุนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และ
4.การมีสัญชาติอเมริกันของเจ้าอาวาสมีเจตนาอะไร ถ้าพบว่าทางวัดธรรมกายทำผิดก็ขอให้อายัดเงินที่ดิน ห้ามออกนอกประเทศ และขอให้ดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนั้น พล.ต.ต.อดิศร นนทรีย์ ผบก.ป. กำลังทำการประชุมอยู่จึงให้ พ.ต.อ.ทวีพร นามเสถียร และ พ.ต.อ.วิเชียร สมานพงษ์ รอง ผบก.ป. ออกมารับหนังสือร้องทุกข์ดังกล่าว ก่อนสั่งการให้ รอง ผบก.ป.ทั้งคู่เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน โดยส่งชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 ป. ลงพื้นที่สืบสวนหาข้อเท็จจริงรายงานให้ทราบโดยเร็ว ในกรณีที่อยู่นอกพื้นที่ของ กก.3 ป. ก็ให้หน่วยงานที่ดูแลพื้นที่ลงไปดำเนินการต่อไป
- เดลินิวส์ 16/3/2543
ทนายไชยบูลย์กลัวความชั่วเปิดเผย
ร้องห้ามเดลินิวส์ทำข่าว
- ทนายธรรมกายร้องศาล ห้ามนักข่าวเดลินิวส์-สยามรัฐ-ข่าวสด
เข้าฟังเบิกความพยานโจทก์นัดหน้า อ้างละเมิด นำคำเบิกความไปบิดเบือน "พระอดิศักดิ์"แฉรอบสองสัมพันธ์สวาท"ไชยบูลย์-สีกา"แหลก
สาวกทนไม่ไหวลุกกลับเป็นแถว นัดสืบพยานโจทก์ใหม่ 22 มี.ค.
ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 9.00 น. วันที่ 15 มี.ค. ศาลได้นัดเบิกความโจทก์คดีนายไชยบูลย์ สุทธิผล เจ้าลัทธิธรรมกายและนายถาวร พรหมถาวร คนใกล้ชิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานและสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย โดยมีพระอดิศักดิ์ วิริยสกฺโก อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายและเหรัญญิกวัดพระธรรมกาย เป็นพยานโจทก์ปากที่ 6
พระอดิศักดิ์ให้การว่า ความประพฤติของ จำเลยที่ 1 ไม่เหมือนกับพระทั่วไป เช่น การพักร่วมกับสีกา และประพฤติผิดในกามกับสีกา อีกทั้งยังมีการเลือกปฏิบัติกับญาติโยม ถ้าเป็นญาติโยมที่มีฐานะยากจนจะไม่ให้เข้าพบ ส่วนคนที่มีฐานะร่ำรวยจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และผู้ที่บริจาคเงิน 1 ล้านบาทขึ้นไป จำเลยที่1 จะนำไปอัดธรรมกายหรือเขาเรียกว่าเป็นการอัดคุณธรรมชั้นสูง หรือการเข้าสู่ศูนย์กลางกายของบุคคลเหล่านั้น แล้วจะบอกว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมชั้นสูง นำมาเล่าให้กับผู้ยังไม่ได้อัดอยากที่จะอัด แต่ต้องมีการบริจาคเงินจำนวนมาก
ในเรื่องของคำสอนก็บิดเบือนไปจากพระไตรปิกฏ พระในวัดไม่มีการบิณฑบาต มีการทำโครงการต่างๆ อีกหลายโครงการซึ่งมีผู้บริจาคทรัพย์ให้เป็นจำนวนมากแต่ไม่มีการดำเนินการตามโครงการที่วางไว้ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 นำเงินวัดไปใช้จ่ายผิดประเภท นอกจากจะนำเงินไปกว้านซื้อที่ดินแล้ว ยังลงทุนทำธุรกิจในรูปของการตั้งบริษัท เล่นแชร์และยังนำเงินบางส่วนไปให้เสี่ยส.เล่นหุ้นด้วย ได้เคยทักท้วงจำเลยที่ 1 ผ่านทางพระสุวิทย์ สุวิชาโภ ผู้ช่วยเหรัญญิกในขณะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทราบก็เกิดความไม่พอใจ
พระอดิศักดิ์ ยังกล่าวถึง พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในกรณีที่มีการซื้อที่ดินรอบวัด ว่า มีเจ้าของที่ดินบางรายไม่ยอมขาย ก็ใช้วิธีการบีบบังคับเพื่อให้ได้ที่ดินแปลงดังกล่าวมา อีกทั้งมีการนำมาเล่าให้ฟังด้วยตัวเองในวงอาหาร เป็นต้น อย่างไรก็ดีนายสนธยา โพธิแดง ทนายจำเลย ได้ซักค้านพยานโจทก์หลายประการ ทั้งยังระบุว่า พระอดิศักดิ์เคยกล่าวข้อความอาฆาตว่าจะทำลายวัดพระธรรมกาย โดยยืนยันจากเทปเสียง
นอกจากนั้นยังนำเรื่องที่มีผู้แจ้งความกล่าวหาพระอดิศักดิ์ขโมยเพชรตาวัวจากหลวงพ่อทองสุก จ.สมุทรสาครจนลูกศิษย์ตามมาทวงคืน และกรณีที่ถูกสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ขับออกจากวัดปากน้ำภาษีเจริญมาซักค้านพยานด้วย ซึ่งพระอดิศักดิ์ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาของทนายจำเลยทั้งหมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลให้สั่งห้ามผู้สื่อข่าวนสพ.เดลินิวส์,ข่าวสดและสยามรัฐ เข้ามาภายในห้องพิจารณาคดีและลงโทษฐานละเมิดศาล โดยอ้างว่านสพ.ทั้ง 3 ฉบับโฆษณาคำเบิกความบิด เบือนข้อเท็จจริงและวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เสียความเป็นธรรมในการพิจารณาด้วย
ส่วนนายไชยบูลย์และนายถาวรนั้น รายงานแจ้งว่าเดินทางพร้อมแกนนำและสาวกอีกจำนวน 400 กว่าคน โดยผู้ที่ไม่ได้เข้าฟังก็มายืน อยู่หน้าห้องราว 20 กว่าคน นอกจากนี้ระหว่างการพิจารณาคดีมีการส่งเสียงฮือแสดงความไม่พอใจหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อพยานกล่าวถึงความประพฤติผิดในกามและในช่วงที่มีการพูดถึง เรื่องอัดธรรมกายบนดอยสุเทพ ทำให้สาวกจำนวนหลายสิบคนทนฟังไม่ได้ เดินออกไปอยู่นอกห้องหรือบางคนก็เดินทางกลับไปเลย
สว่างแจ้งกันไหม
ตอบลบ