ลกกามคุณสูตรที่ ๑
[๑๖๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรามิได้กล่าวว่าที่สุดของโลกอัน
บุคคลพึงรู้ พึงเห็น พึงถึงด้วยการไป และเรายังไม่ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว ย่อมไม่กล่าวการกระทำ
ที่สุดทุกข์
ข้าพระองค์อยู่ด้วยวิหารธรรมคือสุญญตสมาบัติแลเป็นส่วนมากในบัดนี้ ฯ
๙. วัชชีปุตตเถรคาถา
สุภาษิตเตือนให้ปฏิบัติธรรม
[๒๕๖] ดูกรอานนท์ผู้โคตมโคตร ท่านจงเข้าไปสู่ชัฏแห่งโคนไม้ จงหน่วงนิพพาน
ไว้ในหทัยแล้วจงเพ่งฌาน และอย่าประมาท การใส่ใจถึงประชุมชน จักทำ
ประโยชน์อะไรให้แก่ท่านได้.
๔. โสมมิตตเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษความเกียจคร้าน
[๒๗๑] เต่าตาบอดเกาะขอนไม้เล็กๆ จมลงไปในห้วงน้ำใหญ่ ฉันใด กุลบุตร
อาศัยคนเกียจคร้านดำรงชีพ ย่อมจมลงในสังสารวัฏ ฉันนั้น เพราะฉะนั้น
บุคคลพึงเว้นคนเกียจคร้านผู้มีความเพียรเลวทรามเสีย ควรอยู่ร่วมกับ
บัณฑิตทั้งหลายผู้สงัดเป็นอริยะ มีใจเด็ดเดี่ยว ผู้เพ่งฌาน มีความเพียร
อันปรารภแล้วเป็นนิตย์.
สุภาษิตเย้ยตัณหา
[๒๘๙] เรือนคืออัตภาพที่เกิดในภพนั้นๆ บ่อยๆ เป็นของไม่เที่ยง เราแสวงหา
นายช่างคือตัณหาผู้สร้างเรือน เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปสู่สงสารสิ้น
ชาติมิใช่น้อย การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป ดูกรนายช่างผู้สร้างเรือน
บัดนี้ เราพบท่านแล้ว ท่านจักไม่ต้องสร้างเรือนให้เราอีก ซี่โครงคือกิเลส
ของท่าน เราหักเสียหมดแล้ว และช่อฟ้าคืออวิชชาแห่งเรือนท่าน
เราทำลายแล้ว จิตของเราไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว จักดับอยู่ในภพ
นี้เอง
๑๐. อิสิทัตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการรู้เห็นเบญจขันธ์
[๒๕๗] เบญจขันธ์ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ตั้งอยู่ ข้าพระองค์
บรรลุถึงความสิ้นทุกข์แล้ว บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว.
ทุกนิบาต
เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๑
ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในทุกนิบาต วรรคที่ ๑
๑. อุตตรเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษของภพ
[๒๕๘] ได้ยินว่า ท่านพระอุตตรเถระได้ภาษิตคาถาไว้ ๒ คาถาอย่างนี้ว่า ภพอะไร
ที่เที่ยงไม่มี แม้สังขารที่เที่ยงก็ไม่มี ขันธ์เหล่านั้นย่อมเวียนเกิดและ
เวียนดับไป เรารู้โทษอย่างนี้แล้ว จึงไม่มีความต้องการด้วยภพ เราสลัด
ตนออกจากกามทั้งปวง บรรลุถึงความสิ้นอาสวะแล้ว.
๒. ปิณโฑลภารทวาชเถรคาถา
สุภาษิตชี้ทางดำเนินชีวิตที่ถูก
[๒๕๙] ได้ยินว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชเถระได้ภาษิตคาถาไว้ ๒ คาถาอย่างนี้ว่า
ชีวิตของเรานี้ ย่อมไม่เป็นไปโดยไม่สมควร อาหารไม่ได้ทำจิตให้สงบ
เราเห็นว่า ร่างกายจะดำรงอยู่ได้เพราะอาหาร จึงได้เที่ยวแสวงหาอาหาร
โดยทางที่ชอบ นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวการไหว้
การบูชาในตระกูลทั้งหลายว่า เป็นเปือกตม เป็นลูกศรอันละเอียด
ถอนขึ้นได้ยาก สักการะอันบุรุษชั่วละได้ยาก.
๓. วัลลิยเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการฝึกจิต
[๒๖๐] วานรเข้าไปอยู่ในกระท่อมมีประตู ๕ ประตู พยายามเวียนเข้าออกทาง
ประตูนั้นเนืองๆ จงหยุดนิ่งนะเจ้าลิง อย่าวิ่งไปดังกาลก่อนเลย เราจับ
เจ้าไว้ได้ด้วยปัญญาแล้ว เจ้าจักไปไกลไม่ได้ละ.(กระท่อมคือกาย มี ห้าทวาร วานร คือ รูป ลิง คือจิต)
๘. สุราธเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับผู้ปฏิบัติถูกต้อง
[๒๖๕] ชาติของเราสิ้นแล้ว คำสั่งสอนของพระชินเจ้าเราอยู่จบแล้ว ข่าย คือ
ทิฏฐิและอวิชชาเราละได้แล้ว ตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพเราถอนได้แล้ว
เราออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นเราได้บรรลุแล้ว
ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงเราก็ได้บรรลุแล้ว.
สุภาษิตชี้โทษของกาม
[๒๙๑] อุบาสกทั้งหลายผู้ทรงธรรมกล่าวว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง เราได้เห็นแล้ว
อุบาสกเหล่านั้นเป็นผู้กำหนัด รักใคร่ห่วงใยในแก้วมณี บุตรธิดา และ
ภรรยา เราได้เห็นแล้ว เพราะอุบาสกเหล่านั้น ไม่รู้ธรรมในพระพุทธ
ศาสนานี้แน่แท้ แม้ถึงอย่างนั้นก็ได้กล่าวว่า กามทั้งหลายไม่เที่ยง แต่
กำลังญาณเพื่อจะตัดราคะของอุบาสกเหล่านั้น ไม่มี เพราะฉะนั้น อุบาสก
เหล่านั้นจึงติดอยู่ในบุตรภรรยาและในทรัพย์.
๕. สัมพหุลกัจจานเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับผู้รักสงบ
[๒๙๒] ฝนก็ตก ฟ้าก็กระหึ่ม เราอยู่ในถ้ำอันน่ากลัวแต่คนเดียว เมื่อเราอยู่ในถ้ำ
อันน่ากลัวคนเดียว ความกลัว ความสะดุ้ง หวาดเสียว หรือขนลุก
ขนพองมิได้มีเลย การที่เราอยู่ในถ้ำอันน่ากลัวแต่ผู้เดียว ไม่มีความกลัว
หรือสะดุ้งหวาดเสียวนี้ เป็นธรรมดาของเรา.
๖. ขิตณเถรคาถา
สุภาษิตแสดงผลการอบรมจิต
[๒๙๓] จิตของใครตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ดังภูเขา ไม่กำหนัดแล้วในอารมณ์เป็น
ที่ตั้งแห่งความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง
ผู้ใดอบรมจิตได้อย่างนี้ ทุกข์จักมาถึงผู้นั้นแต่ที่ไหน จิตของเราตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหว ดังภูเขา จิตของเราไม่กำหนัดแล้วในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่ง
ความกำหนัด ไม่ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง เราอบรม
จิตได้แล้วอย่างนี้ ทุกข์จักมาถึงเราแต่ที่ไหนๆ
๗. โสณโปฏิริยปุตตเถรคาถา
สุภาษิตแสดงการไม่ยอมแพ้กิเลส
[๒๙๔] ราตรีอันประกอบด้วยฤกษ์มาลินีเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นราตรีเพื่อจะหลับ
โดยแท้ ราตรีเช่นนี้ ย่อมเป็นราตรีอันผู้รู้แจ้ง ปรารถนาแล้วเพื่อประกอบ
ความเพียร.
ครั้นพระโสณะได้ฟังดังนั้นก็สลดใจ ยังหิริและโอตตัปปะให้เข้าไปตั้งไว้แล้ว อธิษฐาน
อัพโภคาสิกังคธุดงค์ กระทำกรรมในวิปัสสนา ได้กล่าวคาถาที่ ๒ นี้ว่า
ถ้าช้างพึงเหยียบเราผู้ตกลงจากคอช้าง เราตายเสียในสงครามประเสริฐ
กว่า แพ้แล้ว เป็นอยู่จะประเสริฐอะไร.
๑. กุมารกัสสปเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญพระรัตนตรัย
[๒๙๘] น่าอัศจรรย์หนอ พระพุทธเจ้า พระธรรมและพระคุณสมบัติของพระศาสดา
ของเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์ของพระสาวกผู้จัก
ทำให้แจ้งซึ่งธรรมเช่นนี้ พระสาวกเหล่าใดเป็นผู้ยังไม่ปราศจากขันธ์ ๕
ในอสังไขยกัป พระกุมารกัสสปนี้เป็นรูปสุดท้าย แห่งพระสาวกเหล่านั้น
ร่างกายนี้มีในที่สุด สงสารคือการเกิดการตายมีในที่สุด บัดนี้ ภพใหม่
ไม่มี.
๕. สุนาคเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
[๒๒๒] ผู้ฉลาดในการถือเอา ซึ่งนิมิตแห่งภาวนาจิตเสวยรสแห่งวิเวก เพ่งฌาน
ฉลาดในการรักษากัมมัฏฐาน มีสติตั้งมั่น พึงบรรลุนิรามิสสุขอย่าง
แน่นอน.
๖. นาคิตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับทางไปนิพพาน
[๒๒๓] ในลัทธิแห่งเดียรถีร์ภายนอกพระศาสนานี้ ย่อมไม่มีทางไปสู่นิพพาน
เหมือนอริยอัฏฐังคิกมรรคนี้เลย พระผู้มีพระภาคผู้เป็นบรมครู ทรงพร่ำ
สอนภิกษุสงฆ์ด้วยพระองค์เอง เหมือนดังทรงแสดงผลมะขามป้อมในฝ่า
พระหัตถ์ ฉะนั้น.
๗. ปวิฏฐเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการเห็นเบญจขันธ์
[๒๒๔] เราเห็นเบญจขันธ์ตามความจริงได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงได้แล้ว ชาติ
สงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
๘. อัชชุนคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการยกคนพ้นกิเลส
[๒๒๕] เราอาจยกตนจากน้ำ คือ กิเลส ขึ้นบนบกคือนิพพานได้ เหมือนคนที่ถูก
ห้วงน้ำใหญ่พัดไปแล้ว ยกตนขึ้นจากน้ำฉะนั้น เราแทงตลอดสัจจะ
ทั้งหลายแล้ว.
๙. เทวสภเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการพ้นกิเลส
[๒๒๖] กามราคะเพียงดังเปือกต้ม และฉันทราคะเพียงดังหล่ม เราข้ามพ้นแล้ว
เราเว้นทิฏฐิราคะเพียงดังบาดาลแล้ว เราพ้นจากโอฆะและกิเลสเครื่อง
ร้อยกรอง ทั้งกำจัดมานะหมดสิ้นแล้ว.
๑๐. สามิทัตตเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการรู้เห็นเบญจขันธ์
[๒๒๗] เบญจขันธ์เรากำหนดรู้แล้ว (ทุกข์ให้กำหนดรู้)ตัดรากขาดแล้ว ตั้งอยู่ ชาติสงสารสิ้นแล้ว
บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.
_____________________________________
ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ ๑๐ องค์ คือ
๑. พระสมิติคุตตเถระ ๒. พระกัสสปเถระ
๓. พระสีหเถระ ๔. พระนีตเถระ
๕. พระสุนาคเถระ ๖. พระนาคิตเถระ
๗. พระปวิฏฐเถระ ๘. พระอัชชุนเถระ
๙. พระเทวสภเถระ ๑๐. พระสามิทัตตเถระ.
จบ วรรคที่ ๙
เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๑๐
ว่าด้วยคาถาสุภาษิต ในเอกกนิบาต วรรคที่ ๑๐
๑. ปริปุณณกเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญรสพระธรรม
[๒๒๘] สุธาโภชน์มีรสตั้งร้อย ที่เราบริโภคในวันนี้ ก็ไม่เหมือนอมตะที่เราได้
บริโภค พระธรรมที่พระพุทธเจ้าผู้โคดม ทรงเห็นซึ่งธรรมหาประมาณมิได้
ทรงแสดงไว้แล้ว.
๒. วิชยเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญผู้สิ้นอาสวะ
[๒๒๙] ผู้ใดมีอาสวะสิ้นแล้ว ไม่ติดอยู่ในอาหารมีสุญญตวิโมกข์และอนิมิตต
วิโมกข์เป็นโคจร รอยเท้าของผู้นั้นรู้ได้ยาก เหมือนรอยเท้าของฝูงนก
ในอากาศ ฉะนั้น.
๓. เอรกเถรคาถา
สุภาษิตว่าด้วยโทษของกาม
[๒๓๐] ดูกรเอรกะ กามเป็นทุกข์ กามไม่เป็นสุขเลย ผู้ใดใคร่กามผู้นั้นชื่อว่า
ใคร่ทุกข์ ผู้ใดไม่ใคร่กาม ผู้นั้นชื่อว่าไม่ใคร่ทุกข์.
๔. เมตตชิเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญพระพุทธองค์
[๒๓๑] ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคศากยบุตร ผู้มีพระศิริพระองค์นั้น พระองค์
ผู้ถึงแล้วซึ่งธรรมอันสูงสุด ได้ทรงแสดงอัครธรรมนี้ด้วยดี.
๕. จักขุปาลเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับการไม่คบคนชั่ว
[๒๓๒] เราเป็นคนบอด มีนัยน์ตาอันโรคกำจัดแล้ว เดินทางไกลอยู่ เรายอมนอน
(ตาย) ณ ที่นี้ จักไม่ไปกับเพื่อนผู้ร่วมทางอันลามก.
๖. ขัณฑสุมนเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญความเสียสละ
[๒๓๓] เพราะเสียสละดอกไม้เพียงดอกเดียว เราได้รับการบำเรออยู่ในสวรรค์
ถึง ๘๐ โกฏิปี ที่สุดได้บรรลุนิพพาน เพราะผลกรรมที่เหลือ.
๗. ติสสเถรคาถา
สุภาษิตสรรเสริญบาตรดินเผา
[๒๓๔] เราได้สละภาชนะทองคำ มีน้ำหนักประมาณ ๑๐๐ ปละ วิจิตรด้วยลวดลาย
ตั้งร้อยชนิด มาถือเอาบาตรดิน นี้เป็นการอภิเษกครั้งที่สองของเรา.
๘. อภัยเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษรูปารมณ์
[๒๓๕] เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้ว มัวใส่ใจถึงอารมณ์เป็นที่รัก สติก็หลงลืม
ผู้ใดมีจิตกำหนัดยินดีเสวยรูปารมณ์ รูปารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น อาสวะ
ทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งมูลแห่งภพ.
๙. อุตติยเถรคาถา
สุภาษิตชี้โทษสัททารมณ์
[๒๓๖] บุคคลได้สดับเสียงแล้ว มัวใส่ใจถึงอารมณ์เป็นที่รัก สติก็หลงลืม
ผู้ใดมีจิตกำหนัดยินดีเสวยสัททารมณ์ สัททารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น อาสวะ
ทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งสงสาร.
๑๐. เทวสภเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความเพียรชอบ
[๒๓๗] ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรชอบ มีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ ประดับ
ประดาด้วยดอกไม้ คือ วิมุติ จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะปรินิพพาน.
__________________
ในวรรคนี้รวมพระเถระได้ ๑๐ องค์ คือ
๑. พระปริปุณณกเถระ ๒. พระวิชยเถระ
๓. พระเอรกเถระ ๔. พระเมตตชิเถระ
๕. พระจักขุปาลเถระ ๖. พระขัณฑสุมนเถระ
๗. พระติสสเถระ ๘. พระอภัยเถระ
๙. พระอุตติยเถระ ๑๐. พระเทวสภเถระ
จบ วรรคที่ ๑๐
______________________________
สุภาษิตเกี่ยวกับการไม่คบคนชั่ว
ตอบลบ[๒๓๒] เราเป็นคนบอด มีนัยน์ตาอันโรคกำจัดแล้ว เดินทางไกลอยู่ เรายอมนอน
(ตาย) ณ ที่นี้ จักไม่ไปกับเพื่อนผู้ร่วมทางอันลามก สาธุ สาธุ สาธุ
ถ้าช้างพึงเหยียบเราผู้ตกลงจากคอช้าง เราตายเสียในสงครามประเสริฐ
ตอบลบกว่า แพ้แล้ว เป็นอยู่จะประเสริฐอะไร. ถ้าว่าแล้วก็เด็ด ๆ ทุกประโยค ทุกวลีอย่างแท้จริงครับ แต่น่าเสียดายที่คนที่มีจิตใจดีจริง บริสุทธิ์จริงนั้นหายาก แต่ก็ยุติธรรมเพราะถ้าคนไม่ดีจริงก็ย่อมไม่คู่ควรในสิ่งวิเศษนี้ สาธุในพระธรรมครับผม