ตปุสสสูตร
[๒๔๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมของชนชาวมัลละ ชื่ออุรุเวลกัปปะ
ในแคว้นมัลละ ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตรและจีวร
เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังอุรุเวลกัปปนิคม ครั้นแล้วเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ตรัส
เรียกท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์เธอจงอยู่ในที่นี้ก่อน จนกว่าเราจะไปถึงป่ามหาวันเพื่อผัก
ผ่อนในกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จถึง
ป่ามหาวันประทับพักผ่อนกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ฯ
ครั้งนั้นแล ตปุสสคฤหบดี เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า
เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เพลิดเพลินยินดีหมกมุ่นอยู่ในกาม เนกขัมมะไม่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า
เหล่านั้นเหมือนดังเหว ข้าแต่ท่านผู้เจริญข้าพเจ้าทั้งหลายได้สดับมาดังนี้ว่า จิตของภิกษุหนุ่มๆ
ในธรรมวินัยนี้ ย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ย่อมหลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ
เมื่อเธอเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ล้วนแต่เป็น
วิสภาคกับชนเป็นอันมาก นั้นก็ คือ เนกขัมมะ ฯ
ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูกรคฤหบดี เหตุแห่งถ้อยคำนี้มีอยู่มาเราไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
กันเถิด เราจักเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วจักกราบทูลเนื้อความนี้ พระผู้มีพระภาค
จักทรงพยากรณ์แก่เราอย่างไร เราจักกระทำอย่างนั้น ตปุสสคฤหบดีรับคำท่านพระอานนท์แล้ว
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์พร้อมด้วยตปุสสคฤหบดีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตปุสสคฤหบดีกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า
เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เพลิดเพลินยินดีหมกมุ่นอยู่ในกามเนกขัมมะไม่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า
เหล่านั้นเหมือนดังเหว ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายได้สดับมาดังนี้ว่า จิตของพวกภิกษุ
หนุ่มๆ ในธรรมวินัยนี้ย่อมแล่นไปเลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ หลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ
เมื่อเธอเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ล้วนแต่เป็น
วิสภาคกับชนเป็นอันมาก นั่นก็ คือ เนกขัมมะ ดังนี้ พระเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น อานนท์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น อานนท์ ดูกร
อานนท์ แม้เมื่อเราเองก่อนแต่การตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ได้มีความคิดอย่างนี้
ว่า เนกขัมมะเป็นความดี วิเวกเป็นความดี จิตของเรานั้นยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่
ตั้งมั่นในเนกขัมมะ ยังไม่หลุดพ้นใน เพราะเนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นี้สงบ เรานั้น
ได้มีความคิดว่าอะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเรา ไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส
ไม่ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ไม่หลุดพ้น ใน เพราะเนกขัมมะ เพราะเราเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้น
จึงคิดต่อไปว่าโทษในกามทั้งหลายที่เรายังไม่เห็น และไม่ได้กระทำให้มากอานิสงส์ในเนกขัมมะ
เรายังไม่ได้บรรลุ และไม่ได้เสพโดยมาก เพราะฉะนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส
ไม่ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ ไม่หลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้น
ได้มีความคิดว่า ถ้าว่าเราเห็นโทษในกามทั้งหลายแล้ว พึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ใน
เนกขัมมะแล้วพึงเสพอานิสงส์นั้นโดยมาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราจะพึง
แล่นไปพึงเลื่อมใส พึงตั้งอยู่ในเนกขัมมะ พึงหลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ เมื่อเราพิจารณา
เห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในกามแล้วได้กระทำให้มาก บรรลุ
อานิสงส์ในเนกขัมมะแล้วเสพโดยมาก จิตของเรานั้นจึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ
หลุดพ้นในเพราะเนกขัมมะ เพราะเราพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เราสงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรมบรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดจากวิเวกอยู่ เมื่ยเรานั้นอยู่
ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยกามย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเรา
เปรียบเหมือนความทุกข์ พึงบังเกิดขึ้นแก่คนผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียนฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นมีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ดูกรอานนท์
จิตของเรานั้นไม่แล่นไป ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งอยู่ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร ไม่หลุดพ้นใน
เพราะทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร เพื่อพิจารณาเห็นว่านั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความ
คิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะทุติยฌานอันไม่มี
วิตกวิจาร เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในวิตก
เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้
เสพโดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป ... ในเพราะทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร เพราะ
พิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในวิตกแล้วพึงกระทำให้
มาก บรรลุอานิสงส์ในทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจารแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะ
มีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ... ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นแล เห็นโทษในวิตก ...
เสพโดยมาก ดูกรอานนท์จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะทุติยฌานอันไม่มีวิตกวิจาร …
เรานั้นบรรลุทุติยฌาน ฯลฯ ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคต
ด้วยวิตก ... ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราจะพึงมีอุเบกขา มีสติมีสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้
ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ดูกร
อานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่าอะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป ...
ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า
โทษในปีติ เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในตติยฌานอันไม่มีปีติ เราไม่ได้บรรลุและ
ไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่นไป ...ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ เพราะ
พิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในปีติแล้วพึงกระทำให้มาก
บรรลุอานิสงส์ในตติยฌานอันไม่มีปีติแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิต
ของเราพึงแล่นไป ... ดูกรอานนท์ สมัยต่อมาเรานั้นเห็นโทษในปีติ ... เสพโดยมาก ดูกรอานนท์
จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะตติยฌานอันไม่มีปีติ ... เรานั้นบรรลุตติยฌาน ฯลฯ ดูกร
อานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยปีติ ... ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุจตุตถฌาน ...ดูกรอานนท์
จิตของเรานั้น ย่อมไม่แล่นไป ... ในจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะพิจารณาเห็นว่า
นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิต
ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ
ดูกรอานนท์ เรานั้นมีความคิดว่า โทษในอุเบกขาและสุข เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์
ในจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึง
ไม่แล่นไป ... ในเพราะจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้
มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในอุเบกขาและสุขแล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ใน
จตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุขแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเรา
พึงแล่นไป ... ดูกรอานนท์สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในอุเบกขาและสุข ... เสพโดยมาก ดูกร
อานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ... เรานั้นบรรลุ
จตุตถฌาน ฯลฯ ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วย
อุเบกขา ... ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา ... พึงบรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ...
ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้น ย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะอากาสานัญจายตนฌาน เพราะพิจารณา
เห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นมีความคิดว่า อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิต
ของเราไม่แล่นไป ...ในเพราะอากาสานัญจายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์
เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในรูปฌานทั้งหลาย เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์ใน
อากาสานัญจายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไป ...
ในเพราะอากาสานัญจายตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่านั่นสงบเรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแล
เราเห็นโทษในรูปฌานทั้งหลายแล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในอากาสานัญจายตนฌาน
แล้ว พึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ... ดูกรอานนท์ สมัย
ต่อมา เราเห็นโทษในรูปฌานทั้งหลาย ... เสพโดยมาก ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ...ใน
เพราะอากาสานัญจายตนฌาน ... เรานั้นแล ... บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน ฯลฯดูกรอานนท์ เมื่อ
เราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยรูปฌานทั้งหลาย ... ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา ... พึงบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ...
ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะวิญญาณัญจายตนฌาน เพราะพิจารณาเห็น
ว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิต
ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะวิญญาณัญจายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์
เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในอากาสานัญจายตนฌาน เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มากอานิสงส์
ในวิญญาณัญจายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้นจิตของเราจึงไม่แล่น
ไป ... ในเพราะวิญญาณัญจายตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่านั่นสงบ เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแล
เราเห็นโทษในอากาสานัญจายตนฌานแล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในวิญญาณัญจายตน
ฌานแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเราพึงแล่นไป ... ดูกรอานนท์
สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในอากาสานัญจายตนฌาน ... เสพโดยมาก ดูกรอานนท์ จิตของเราจึง
แล่นไป ... ในเพราะวิญญาณัญจายตนฌาน ... เรานั้นแล ... บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ... ดูกร
อานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนฌาน ...
ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เราพึงบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ...
ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะอากิญจัญญายตนฌาน เพราะพิจารณา
เห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่อง
ให้จิตของเราไม่แล่นไป ...ในเพราะอากิญจัญญายตนฌาน เพื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกร
อานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในวิญญาณัญจายตนฌาน เราไม่ได้เห็นและไม่ได้ทำให้มาก
อานิสงส์ในอากิญจัญญายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเรา
จึงไม่แล่นไป ... ในเพราะอากิญจัญญายตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ เรานั้นได้มี
ความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในวิญญาณัญจายตนฌานแล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุอานิสงส์
ในอากิญจัญญายตนฌานแล้วพึงเสพโดยมากข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเรา
พึงแล่นไป ... ดูกรอานนท์ สมัยต่อมาเรานั้นเห็นโทษในวิญญาณัญจายตนฌาน ... เสพโดยมาก
ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะอากิญจัญญายตนฌาน ... เรานั้นแล ... บรรลุอากิญ
จัญญายตนฌาน ... ดูกรอานนท์ เมื่อเราอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญามนสิการอันสหรคตด้วย
วิญญาณัญจายตนฌาน ... ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา ... พึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะพิจารณา
เห็นว่านั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า อะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิต
ของเราไม่แล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เมื่อพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกร
อานนท์เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในอากิญจัญญายตนฌาน เราไม่ได้เห็นและไม่ได้ทำให้มาก
อานิสงส์ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้เสพโดยมาก เหตุนั้น จิต
ของเรา จึงไม่แล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ
เรานั้นได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในอากิญจัญญายตนฌานแล้วกระทำให้มาก บรรลุ
อานิสงส์ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิต
ของเราพึงแล่นไป... ดูกรอานนท์ สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในอากิญจัญญายตนฌาน ... เสพโดยมาก
ดูกรอานนท์ จิตของเรานั้นจึงแล่นไป ... ในเพราะเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ...เรานั้นแล
... บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ... ดูกรอานนท์ เมื่อเรานั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ สัญญา
มนสิการอันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนฌาน ... ฉะนั้น ฯ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า ไฉนหนอ เรา เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญา
ยตนฌาน พึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ จิตของเรานั้นย่อมไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่น
ในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ
ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่าอะไรหนอแล เป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้จิตของเราไม่แล่นไป
ไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะ
พิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นได้มีความคิดว่า โทษในเนวสัญญานาสัญญายตน
ฌาน เราไม่เห็นและไม่ได้ทำให้มาก อานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธ เราไม่ได้บรรลุและไม่ได้
เสพโดยมาก เหตุนั้น จิตของเราจึงไม่แล่นไปไม่เลื่อมใส ไม่ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ
ไม่หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้น
ได้มีความคิดว่า ถ้าแลเราเห็นโทษในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แล้วพึงกระทำให้มาก บรรลุ
อานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วพึงเสพโดยมาก ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ จิตของเรา
จะพึงแล่นไป พึงเลื่อมใส พึงตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ พึงหลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ
เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์สมัยต่อมา เรานั้นเห็นโทษในเนวสัญญานาสัญญา
ยตนฌานแล้วทำให้มาก บรรลุอานิสงส์ในสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วเสพโดยมาก ดูกรอานนท์
จิตของเรานั้นจึงแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่นในสัญญาเวทยิตนิโรธ หลุดพ้นในเพราะสัญญาเวทยิตนิโรธ
เพราะพิจารณาเห็นว่า นั่นสงบ ดูกรอานนท์ เรานั้นแล บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วง
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง และอาสวะทั้งหลายของเราได้ถึงความสิ้นไป
เพราะเห็นด้วยปัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ ก็เรายังเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙ ประการนี้ โดย
อนุโลมและปฏิโลมอย่างนี้ไม่ได้เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา
และมนุษย์ เพียงนั้น ดูกรอานนท์ก็เมื่อใดแล เราเข้าบ้าง ออกบ้าง ซึ่งอนุบุพพวิหารสมาบัติ ๙
ประการนี้ โดยอนุโลมและปฏิโลมอย่างนี้แล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณว่าได้ตรัสรู้แล้ว ซึ่ง
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ก็แหละญาณทัสนะเกิดขึ้นแก่เราว่าเจโตวิมุติของเราไม่กำเริบ
ชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบมหาวรรคที่ ๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น