๑๐. โลกสูตร
[๘๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ ประทับอยู่ที่ควงไม้โพธิ์ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขโดยบัลลังก์เดียวตลอด
๗ วัน ครั้งนั้นแลโดยล่วง ๗ วันนั้นไป พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสมาธินั้นแล้วทรงตรวจดู
โลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้เดือดร้อนอยู่ด้วยความเดือดร้อนเป็นอันมาก และผู้ถูก
ความเร่าร้อนเป็นอันมากซึ่งเกิดจากราคะบ้าง เกิดจากโทสะบ้าง เกิดจากโมหะบ้าง แผดเผาอยู่ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลา
นั้นว่า
โลกนี้(ขันธ์ห้า)เกิดความเดือดร้อนแล้ว ถูกผัสสะครอบงำแล้ว ย่อมกล่าวถึง
โรคโดยความเป็นตัวตน ก็โลกย่อมสำคัญโดยประการใด ขันธปัญจก
อันเป็นวัตถุแห่งความสำคัญนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นจากประการที่ตน
สำคัญนั้น โลกข้องแล้วในภพมีความแปรปรวนเป็นอื่น ถูกภพครอบงำ
แล้ว ย่อมเพลิดเพลินภพนั่นเอง (สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด
สิ่งนั้นเป็นภัย โลกกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็บุคคลอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์นี้เพื่อจะละภพแล ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
กล่าวความหลุดพ้นจากภพด้วยภพ(สัสสตทิฐิ)เรากล่าวว่า สมณ
พราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่หลุดพ้นไปจากภพ ก็หรือสมณะหรือ
พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความสลัดออกจากภพด้วยความไม่มี ภพ (อุจเฉททิฐิ)เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่
สลัดออกไปจากภพ ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดเพราะอาศัยอุปธิทั้งปวง ความเกิด
แห่งทุกข์ย่อมไม่มี เพราะความสิ้นอุปาทานทั้งปวง ท่านจงดูโลกนี้
สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำหรือยินดีในขันธปัญจก
ที่เกิดแล้ว ไม่พ้นไปจากภพก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งในส่วนทั้งปวง
(ในเบื้องบนเบื้องต่ำ เบื้องขวาง) โดยส่วนทั้งปวง (สวรรค์ อบาย
และมนุษย์เป็นต้น) ภพทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความ
แปรปรวนเป็นธรรมดา อันบุคคลผู้เห็นขันธปัญจกกล่าวคือ ภพ ตาม
ความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบอย่างนี้ อยู่ย่อมละภวตัณหาได้
ทั้งไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา ความดับด้วยอริยมรรคเป็นเครื่องสำรอก
ไม่มีส่วนเหลือ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย โดยประการ
ทั้งปวง เป็นนิพพานภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับแล้วเพราะไม่
ถือมั่น ภิกษุนั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม ล่วงภพได้ทั้งหมด เป็นผู้
คงที่ฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบนันทวรรคที่ ๓
_________
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. กรรมสูตร ๒. นันทสูตร
๓. ยโสชสูตร ๔. สาริปุตตสูตร
๕. โกลิตสูตร ๖. ปิลินทวัจฉสูตร
๗. มหากัสสปสูตร ๘. ปิณฑปาตสูตร
๙. สิปปสูตร ๑๐. โลกสูตร ฯ
ผมจัดทำข้อมูลเปรียบเทียบ คำเทศนาของลป.สาวกโลกอุดรกับในพระไตรปิฏก ว่าเหมือนกัน เพื่อท้าทายให้พวกท่านได้พิสูจน์ว่า ท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์จริงองค์เดียวในยุคปัจจุบัน
วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ธรรมที่เราแสดงแล้ว ล้วนมีอนุปาทาปรินิพพานเป็นความมุ่งหมาย ฯ
คิลานสูตรที่ ๒
[๙๐] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุรูปหนึ่งในวิหารโน้น เป็นผู้ใหม่ ไม่ปรากฏชื่อและโคตร เป็นผู้อาพาธ ถึงความทุกข์ เป็น
ไข้หนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน โอกาส ขอพระผู้มีพระภาค ทรงอาศัยความอนุเคราะห์
เสด็จไปหาภิกษุนั้นเถิดพระเจ้าข้า ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงสดับคำว่าภิกษุใหม่ เป็นไข้ทรงทราบชัด ว่า เป็นภิกษุ
ไม่ปรากฏชื่อและโคตรจึงเสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้น ภิกษุนั้นได้เห็น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล
ครั้นแล้วปูอาสนะไว้ที่เตียง ครั้งนั้นแล พระผู้มี พระภาคได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า อย่าเลย ภิกษุ
เธออย่าปูอาสนะที่เตียงเลย อาสนะที่เขาจัดไว้เหล่านี้มีอยู่ เราจักนั่งบนอาสนะนั้น พระผู้มีพระภาค
ประทับนั่งบน อาสนะซึ่งเขาจัดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ เธอพอทนได้หรือ
เธอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาลดน้อยลง ไม่เจริญแก่กล้าหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ
ความกำเริบไม่ปรากฏหรือ ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทนไม่ไหว ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ฯลฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ติเตียนตนโดยศีลเลย พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ ถ้าเธอไม่ติเตียนตนโดยศีลไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจะมีความรังเกียจ
มีความเดือดร้อนเพราะเรื่องอะไรเล่า ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงเพื่อ
สีลวิสุทธิเลย พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ ถ้าเธอยังไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วเพื่อสีลวิสุทธิไซร้ เมื่อเป็น
เช่นนั้น เธอจะรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วประพฤติเพื่ออะไรเล่า ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดีแล้วๆ ภิกษุ เป็นการถูกต้องดีแล้ว ที่เธอรู้ทั่วถึงธรรมอันเรา แสดงแล้วเพื่อ
อนุปาทาปรินิพพาน เพราะว่าธรรมที่เราแสดงแล้ว ล้วนมีอนุปาทาปรินิพพานเป็นความมุ่งหมาย ฯ
[๙๑] พ. ดูกรภิกษุ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยง หรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
พ. หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส แม้สุขเวทนาทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ หนอที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในจักษุ ฯลฯ
แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อ
เบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีวิญญาณ
หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้มิได้มีฉะนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุนั้นชื่นชม ยินดีภาษิตของ
พระผู้มีพระภาค ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิต ของภิกษุนั้นหลุดพ้นจาก
อาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๒
[๙๐] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ
ภิกษุรูปหนึ่งในวิหารโน้น เป็นผู้ใหม่ ไม่ปรากฏชื่อและโคตร เป็นผู้อาพาธ ถึงความทุกข์ เป็น
ไข้หนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน โอกาส ขอพระผู้มีพระภาค ทรงอาศัยความอนุเคราะห์
เสด็จไปหาภิกษุนั้นเถิดพระเจ้าข้า ฯ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงสดับคำว่าภิกษุใหม่ เป็นไข้ทรงทราบชัด ว่า เป็นภิกษุ
ไม่ปรากฏชื่อและโคตรจึงเสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้น ภิกษุนั้นได้เห็น พระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล
ครั้นแล้วปูอาสนะไว้ที่เตียง ครั้งนั้นแล พระผู้มี พระภาคได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า อย่าเลย ภิกษุ
เธออย่าปูอาสนะที่เตียงเลย อาสนะที่เขาจัดไว้เหล่านี้มีอยู่ เราจักนั่งบนอาสนะนั้น พระผู้มีพระภาค
ประทับนั่งบน อาสนะซึ่งเขาจัดไว้ ครั้นแล้วได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ เธอพอทนได้หรือ
เธอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาลดน้อยลง ไม่เจริญแก่กล้าหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ
ความกำเริบไม่ปรากฏหรือ ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทนไม่ไหว ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ฯลฯ
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ติเตียนตนโดยศีลเลย พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ ถ้าเธอไม่ติเตียนตนโดยศีลไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจะมีความรังเกียจ
มีความเดือดร้อนเพราะเรื่องอะไรเล่า ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงเพื่อ
สีลวิสุทธิเลย พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ ถ้าเธอยังไม่รู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วเพื่อสีลวิสุทธิไซร้ เมื่อเป็น
เช่นนั้น เธอจะรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงแล้วประพฤติเพื่ออะไรเล่า ฯ
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดีแล้วๆ ภิกษุ เป็นการถูกต้องดีแล้ว ที่เธอรู้ทั่วถึงธรรมอันเรา แสดงแล้วเพื่อ
อนุปาทาปรินิพพาน เพราะว่าธรรมที่เราแสดงแล้ว ล้วนมีอนุปาทาปรินิพพานเป็นความมุ่งหมาย ฯ
[๙๑] พ. ดูกรภิกษุ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน จักษุเที่ยง หรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯลฯ
พ. หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส แม้สุขเวทนาทุกขเวทนา หรือ
อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ หนอที่จะตาม
เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในจักษุ ฯลฯ
แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อ
เบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีวิญญาณ
หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้มิได้มีฉะนี้ ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว ภิกษุนั้นชื่นชม ยินดีภาษิตของ
พระผู้มีพระภาค ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิต ของภิกษุนั้นหลุดพ้นจาก
อาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๒
รื้อประวัติศาสตร์ ขบวนการพิฆาตไทย
รื้อประวัติศาสตร์ ขบวนการพิฆาตไทย
Submitted by mdtn on อังคาร, 19 January 2010
ถ้าว่าไปแล้วทุกคนที่แว้ออกมาจากท้องแม่ ก็จะกลายเป็นศาสนิกที่ครอบครัวนับถืออยู่โดยอัตโนมัติทุกศาสนา แต่การที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจศึกษาหลักธรรมของตน ทำให้เราเข้าใจกันว่า “ทุกศาสนาสอนให้ทุกคน เป็นคนดีเหมือนกัน” นั่นแสดงว่าเรากำลังถูกเขาครอบงำเข้าให้แล้ว
ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์เพราะเหตุใด ทำไมคนเราจึงแตกต่างกันมากมาย.. เราเกิดมาทำไม ต้องทำสิ่งใดกันบ้าง นรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่ อยู่ที่ใด กฎแห่งกรรมจริงแท้แค่ไหน.. ใครกันหนอจะเป็นผู้ให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เรา พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ.. ตราบใดที่ศาสนาทั้งหลายยังไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องแท้จริงแก่ศาสนิกของตน แล้วไซร้ ผู้คนก็จะยังคงหลงผิดอยู่ร่ำไป ดังนั้นแม้จนตายก็ยังไม่รู้หรอกว่า ตายแล้วไปไหน.. คิดแล้วน่าเสียดายลม..หายใจ?
ลองลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับพระพุทธศาสนาของเรา แล้วช่วยกันพิจารณาว่า..ทำไมถึงเสื่อมจนใกล้สูญ
1. ปี 21 ดร.บุญสม มาร์ติน รมว.ศึกษาธิการ ตัดพระวิชาพุทธศาสนา คือ ตัดวิชาศีลธรรมกับหน้าที่พลเมือง ออกไป
2. ปี 23-29 ภาพข่าวนักท่องเที่ยวตะวันตก ผู้ชายขึ้นขี่คอ-ผู้หญิงนั่งตัก พระพุทธรูป ดังไปทั่วโลก
3. ปี 24 รัฐบาลเปรม (เสียบนายกฯ พิชัย รัตตกุล) ออก พรบ.อิสลาม ปี 25 คุ้มครองมุสลิมทั้งประเทศ
4. ปี 32 รัฐบาลชาติชาย ขยายผลกฎหมายอิสลามอีกหลายมาตรา ทั้งตัดวิชาประวัติศาสตร์ออกไป
5. ปี 33 สร้างคดีพระมหานิกร ใช้ปืนจี้บังคับถ่ายภาพแต่งงานกับนางอรปวีณา.. เพื่อใช้เป็นเหตุต้องแก้ พรบ.ปกครองสงฆ์ ปี ๒๕๓๕ (ฉบับที่ ๒) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้ แต่ในที่สุดศาลฎีกายกฟ้องคดีพระนิกร ประเด็นสำคัญ คือการแต่งตั้งสมณศักดิ์ สามารถคัดเลือกพระที่ตนวางตัวไว้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เหมือนที่เคยเกิดแล้วในเวียตนาม จึงมีการแพร่ภาพ “พระละหมาด ในมัสยิด” ไปทั่วประเทศ เพื่อรอโอกาสนั้น
6. ปี 36 ตั้งนายอารีย์ วงศ์อารยะ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย มีกฎคนไทยไม่ต้องแจ้งการนับถือศาสนาในทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน แล้วชวนข้าราชการมุสลิม เปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็นไทย.. จนถึง 19 ก.ย. 49 พลเอกสนธิปฏิวัติยึดอำนาจ จึงแต่งตั้งผู้ว่ามุสลิม 39 จังหวัด และกรรมาธิการศาสนา 11 คน เป็นมุสลิม 8 คน
7. ปี 37 สร้างคดีพระยันตระ กับนางจันทิมา แม่ดญ.กระต่าย ลูก-เมียน้อยรัฐมนตรี ในรัฐบาลชวน 1 ถึงขั้นจับตรวจ DNA แต่มีคนช่วยพระยันตระหนีไป เพราะรู้แผนการสับเปลี่ยนเลือดกับนักการเมืองคนนั้น
8. ปี 37-39 ขบวนการ “นารีพิฆาต” เกิดขึ้น ทำลายศรัทธาชาวพุทธอย่างยาวนาน พระเกจิอาจารย์ ระดับนำทั่วประเทศจำนวนมาก ถูกทยอยฆ่าตายด้วยยาพิษ ปาราชิก และ กลั่นแกล้งให้เสียหายในเรื่องสตรีและสตางค์ เพื่อทำลายศาสนบุคคลระดับนำ เช่น ท่านเจ้าคุณวัดเทพฯ หลวงปู่โง่น ฯลฯ ที่ทำเช่นนั้นเพราะ มีแผนร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 ที่ต้องไม่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แม้จะมีชาวพุทธ ลงชื่อกว่า 2 ล้าน 3 แสนคน ในขณะที่นายอานันท์ ขู่ว่า ถ้ายอม.. “บัญญัติให้พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ เลือดจะนองท้องช้าง” เพราะว่ามีผู้ไม่เห็นด้วย 6 แสนคน ในที่สุด 6 แสนเสียงนั้นชนะคน 2 ล้าน??
9. ปี 40 นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ให้นำพระพุทธรูปออกจากห้องทำงาน และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.อิสลาม อีกหลายมาตรา เช่น จุฬาราชมนตรีมีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรีไทย
10. มีแผนการใช้เด็กสาวๆ 10-14 ปี จากแม่แจ่ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านคริสต์ มาทำลายพระภาวนาพุทโธ ด้วยหลักฐานเท็จ พยานเท็จ ศาลตัดสินจำคุกท่าน 150 ปี ซึ่งปกติคดีแบบนี้ ลงโทษกันไม่เกิน 5 ปี เท่านั้น
11. ปี 42 เรามีประธานกรรมาธิการศาสนาฯ ชื่อ พล.เอกปรีชา โรจนเสน เข้ามาเพื่อออกกฎหมาย “ล้วงย่ามพระ” และ “ฆราวาสปกครองพระ” ในรัฐบาลชวน 2 เพื่อควบคุมพระสงฆ์และการสร้างพุทธศาสนสถาน รวมถึงการเข้าไปบริหารพุทธศาสนสมบัติทั้งหมด และกฎหมายส่งเสริมอิสลามอีกหลายฉบับ กฎหมายเหล่านี้รอ สว. ลากตั้ง ปี 51 ผ่านให้ เขาจึงต้องสร้างคดีใหญ่เรื่องธรรมกายขึ้นมา
12. การเขย่าศรัทธาชาวพุทธจึงต้องแรงสุดขีด ปี 41-45 จึงต้องเชือดธรรมกาย หวังโค่นล้มพุทธศาสนา ชนิดถอนรากถอนโคน โชคดีที่พระพรหมโมลี ประธานพิจารณา “นิคคหกรรม” ใช้เวลาเพียง 2 เดือน โดยยึดหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตัดสินคดีธรรมกายพ้นผิด นายสมศักดิ์ จึงไล่ท่านออกจากกรรมการ ม.ส.
13. เท่านั้นไม่พอ ปี 43 พระพรหมโมลี ถูกวางยาพิษมรณภาพ ขณะปฏิบัติศาสนกิจในพม่า
14. พ.ร.บ. ปฏิรูปการศึกษา ที่คนไทยหลงดีใจว่าลูกหลานจะฉลาดขึ้นนั้น เกิดจากน้ำมือของคริสต์-อิสลามร่วมมือกันเขียนขึ้นมา ประธาน คือ ดร.กีรติ บุญเจือ (คาธอลิค) รองประธาน คือ ดร. เกษม (อิสลาม) เจตนาที่แท้จริง คือ กำจัดศาสนทายาทออกไป เนื่องจากเด็กจบ ป. 6 มีโอกาสบวชยาวมากกว่าเด็กจบ ม. 3 ผ.อ. ทุกโรงเรียน ให้ความร่วมมือดี เพราะได้ประโยชน์จากตำแหน่งและงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ตามสึกสามเณรมาเข้าโรงเรียน สามเณรจึงหายไปกว่า 90% วัดวาอารามในต่างจังหวัด จึงเหลือแต่หลวงปู่-หลวงตา คนเข้าวัดก็เหลือคุณย่า-คุณยาย ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ต้องทำอะไร อีกไม่นานพุทธศาสนาก็ล้มเอง... แต่มันต้องเร่งให้เสร็จใน 10 ปี
15. ปี 43 รัฐบาลชวน 2 ทวงหนี้ค่าสัมปทานไอทีวี 2 หมื่นล้านบาท จากนั้นเกิดคดีพระแต่งเครื่องแบบนายทหาร ขับเบ็นซ์พาสาวเที่ยวและค้างคืน ที่หมู่บ้านแถวบางบัวทอง ออกข่าวทุกชั่วโมง แรมเดือน ขณะถ่ายทำละครเรื่องนี้ มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปให้ผู้ว่าจ้างในต่างแดน จนฝ่ายข่าวทหารเปิดโปงไอทีวี เรื่องนี้จึงเงียบไป พร้อมกับที่รัฐบาลเลิกทวงหนี้ 2 หมื่นล้านบาทนั้น
16. ปี 45 พรบ.ธนาคารอิสลาม เกิดขึ้นด้วยเงินชาวไทยกว่า 1000 ล้านบาท การดำเนินงานขาดทุนทุกปี
17. “Time” หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของโลก เปิดโปงแผน Dream State ที่อิสลามหวังยึดครองประเทศไทย โดยรุกทางการเมืองจากภาคใต้ ขยายผลให้มีการเลือกพรรคของตนใน กทม. และภาคตะวันออก โดยสนับสนุนการเงินผ่านธนาคารอิสลาม แล้วใช้ ASTV ปลุกปั่นคนไทยให้ฆ่ากันเอง ได้ผลดีกว่าที่คาด
18. 3 ม.ค. 47 การปล้นอาวุธจากกองทัพจึงเกิดขึ้น ขบวนการล่าหัวชาวพุทธเกิดตามมาอย่างถี่ยิบ ทั้งครู ตำรวจ ทหาร ประชาชน แม้แต่พระสงฆ์สามเณร ถูกฆ่าตายรายวันอย่างทารุณ ก่อวินาศกรรมทุกพื้นที่ โรงเรียนและหมู่บ้านชาวพุทธถูกเผาเป็นว่าเล่น สูญเสียงบประมาณหลายแสนล้านบาท ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ แถมยังส่งเสริมฝ่ายตรงข้ามให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น ด้วยการปล่อยตัวผู้ก่อการร้ายทั้งหมด และฟื้น ศอ.บต. 2
19. การกลับมามีอำนาจของอมาตยาธิปไตย ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง แต่แท้จริงแล้ว.. มันคือขั้นตอนการปฏิบัติการไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีการควบคุมอย่างใกล้ชิด
20. การขยายมัสยิดไปทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ที่ต้องทำให้เสร็จภายในปี 2557 จึงสามารถเร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้ ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าเร็วเกินคาด เพราะประชาชนให้ความร่วมมือมากขึ้นในทุกภูมิภาค ทั้งกลุ่มเสื้อแดงก็ไม่กล้าต่อต้านอำนาจกระบอกปืน ที่ฆ่ากันจริงๆ ตั้งแต่วันสงกรานต์ 13 เม.ย. 2552 เป็นต้นมา พระยังถูกฆ่าตายหลังจากที่ ม.ส. ประท้วง กรณี ส.ส. รัฐบาล ขอแก้ พรบ.ปกครองสงฆ์มาตรา 29 ให้อำนาจนายอำเภอจับพระสึกได้อีกชั้นหนึ่ง เนื่องจากมีนายอำเภอมุสลิมนับร้อย พร้อมใช้อำนาจนี้แล้ว
21. กฎหมายอิสลามอีกหลายๆ ฉบับ ตบเท้าทยอยกันออกมาอย่างรวดเร็ว เช่น พรบ.บริหารองค์กรอิสลาม พรบ. กิจการฮัจญ์ พรบ.อาหารฮาลาล พรบ.ปัตตานีมหานคร ที่ขยายผลมาจาก ศอ.บต. 2 รวม 5 จังหวัด ภายใต้นโยบายการปกครองพิเศษตามระบบอิสลาม พรบ.การเงินชุมชนในระบบอิสลาม (Islam Micro Credit) พรบ.ครอบครัวและมรดกระบบอิสลาม พรบ.การจัดตั้งสภาซูรอ พรบ.การจัดตั้งศาลชารีอะห์ ซึ่งใช้บังคับคนไทยทุกคนที่เกิดคดีความกับมุสลิม นับเป็นการกระทำที่เตรียมยกระดับไทยขึ้นเป็นประเทศอิสลาม ถึงกับมีการตั้งชื่อประเทศ “สยามมุสลิม” ที่พร้อมประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ ฯลฯ
22. เม็ดเงินหลายหมื่นล้านบาท โอนผ่านธนาคารอิสลาม เพื่อใช้ซื้อที่ดินนับล้านๆ ไร่ ในทุกภูมิภาคของไทย หลายพื้นที่กำลังเร่งรีบปลูกยางพาราและข้าว จน พตอ.ทวี สอดส่อง ผ.อ.ดีเอสไอ ตรวจสอบพบและแถลงข่าวผ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ส.ค. 52 จึงต้องถูกย้ายทันที
23. การจัดตั้งพรรคการเมืองอิสลาม จึงถูกประกาศอย่างโจ่งแจ้ง มีกรรมการบริหารพรรคที่มีชาวพุทธร่วมด้วย โดยไม่ได้ตระหนักถึงภัยที่เขามุ่งกลืนชาติไทยของตนอย่างเลือดเย็น เพียงเห็นแก่เม็ดเงินที่โอนผ่านธนาคารอิสลามเข้ามาจำนวนมาก เช่น เดียวกับพรรคไทยไม่ภูมิใจ ที่รับเงินไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท??
24. ไม่เพียงนำเข้าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเท่านั้น ยังมีการอพยพมุสลิมจากอาเจะห์-อินโดนีเซีย จำนวนนับ 10 ล้านคน กระจายเข้าไปอยู่ทุกจังหวัด เพื่อทำตามแผนการ พรบ.การเงินชุมชนอิสลาม ที่มุสลิมเท่านั้นมีอำนาจบริหารจัดการ โดยคนไทยอาจเป็นสมาชิกได้ภายใต้กฎกติกาของเขา ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามในโอกาสต่อไป เราจึงเห็นมัสยิดผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในทุกจังหวัด ด้วยเงินงบประมาณของชาวพุทธ ดังที่นายดำรง พุฒตาล นำมาแถลงในรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง
25. หลายจังหวัดที่มีผู้ว่า-นายอำเภอมุสลิม ให้ชาวมุสลิมเช่าวัดร้างนับแสนไร่ เพื่อปลูกยาง พารา 30 ปี
แล้วเราจะแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างไร?? ก็ต้องดูว่าเขาเข้ามาช่องทางไหน ก็ให้เขากลับไปทางช่องนั้น... นั่นคือ กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 50 ถึงกฎหมายอิสลามทุกฉบับ ที่สำคัญคือเลิกทะเลาะกันเองเสียที? แล้วเลือกผู้นำที่ถูกต้อง ไม่ยอมให้ใครหรืออะไร มาครอบงำเราได้ง่ายๆ ถ้าไม่ทำก็ต้องเป็นทาสเขาล่ะ.. ลองศึกษาประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์มหาราชดูเถอะ.. ท่านพัฒนาคนให้มีคุณภาพด้วยธรรมะ จากการบวช-เรียน
http://board.palungjit.com/ได้ข้อมูลดังนี้มาค่ะ-222799.html
Submitted by mdtn on อังคาร, 19 January 2010
ถ้าว่าไปแล้วทุกคนที่แว้ออกมาจากท้องแม่ ก็จะกลายเป็นศาสนิกที่ครอบครัวนับถืออยู่โดยอัตโนมัติทุกศาสนา แต่การที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจศึกษาหลักธรรมของตน ทำให้เราเข้าใจกันว่า “ทุกศาสนาสอนให้ทุกคน เป็นคนดีเหมือนกัน” นั่นแสดงว่าเรากำลังถูกเขาครอบงำเข้าให้แล้ว
ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ชาวโลกส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์เพราะเหตุใด ทำไมคนเราจึงแตกต่างกันมากมาย.. เราเกิดมาทำไม ต้องทำสิ่งใดกันบ้าง นรก-สวรรค์ มีจริงหรือไม่ อยู่ที่ใด กฎแห่งกรรมจริงแท้แค่ไหน.. ใครกันหนอจะเป็นผู้ให้คำตอบที่ถูกต้องแก่เรา พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ.. ตราบใดที่ศาสนาทั้งหลายยังไม่อาจให้คำตอบที่ถูกต้องแท้จริงแก่ศาสนิกของตน แล้วไซร้ ผู้คนก็จะยังคงหลงผิดอยู่ร่ำไป ดังนั้นแม้จนตายก็ยังไม่รู้หรอกว่า ตายแล้วไปไหน.. คิดแล้วน่าเสียดายลม..หายใจ?
ลองลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับพระพุทธศาสนาของเรา แล้วช่วยกันพิจารณาว่า..ทำไมถึงเสื่อมจนใกล้สูญ
1. ปี 21 ดร.บุญสม มาร์ติน รมว.ศึกษาธิการ ตัดพระวิชาพุทธศาสนา คือ ตัดวิชาศีลธรรมกับหน้าที่พลเมือง ออกไป
2. ปี 23-29 ภาพข่าวนักท่องเที่ยวตะวันตก ผู้ชายขึ้นขี่คอ-ผู้หญิงนั่งตัก พระพุทธรูป ดังไปทั่วโลก
3. ปี 24 รัฐบาลเปรม (เสียบนายกฯ พิชัย รัตตกุล) ออก พรบ.อิสลาม ปี 25 คุ้มครองมุสลิมทั้งประเทศ
4. ปี 32 รัฐบาลชาติชาย ขยายผลกฎหมายอิสลามอีกหลายมาตรา ทั้งตัดวิชาประวัติศาสตร์ออกไป
5. ปี 33 สร้างคดีพระมหานิกร ใช้ปืนจี้บังคับถ่ายภาพแต่งงานกับนางอรปวีณา.. เพื่อใช้เป็นเหตุต้องแก้ พรบ.ปกครองสงฆ์ ปี ๒๕๓๕ (ฉบับที่ ๒) ให้ตำรวจ/อัยการ จับพระสึกได้ แต่ในที่สุดศาลฎีกายกฟ้องคดีพระนิกร ประเด็นสำคัญ คือการแต่งตั้งสมณศักดิ์ สามารถคัดเลือกพระที่ตนวางตัวไว้ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เหมือนที่เคยเกิดแล้วในเวียตนาม จึงมีการแพร่ภาพ “พระละหมาด ในมัสยิด” ไปทั่วประเทศ เพื่อรอโอกาสนั้น
6. ปี 36 ตั้งนายอารีย์ วงศ์อารยะ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย มีกฎคนไทยไม่ต้องแจ้งการนับถือศาสนาในทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน แล้วชวนข้าราชการมุสลิม เปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็นไทย.. จนถึง 19 ก.ย. 49 พลเอกสนธิปฏิวัติยึดอำนาจ จึงแต่งตั้งผู้ว่ามุสลิม 39 จังหวัด และกรรมาธิการศาสนา 11 คน เป็นมุสลิม 8 คน
7. ปี 37 สร้างคดีพระยันตระ กับนางจันทิมา แม่ดญ.กระต่าย ลูก-เมียน้อยรัฐมนตรี ในรัฐบาลชวน 1 ถึงขั้นจับตรวจ DNA แต่มีคนช่วยพระยันตระหนีไป เพราะรู้แผนการสับเปลี่ยนเลือดกับนักการเมืองคนนั้น
8. ปี 37-39 ขบวนการ “นารีพิฆาต” เกิดขึ้น ทำลายศรัทธาชาวพุทธอย่างยาวนาน พระเกจิอาจารย์ ระดับนำทั่วประเทศจำนวนมาก ถูกทยอยฆ่าตายด้วยยาพิษ ปาราชิก และ กลั่นแกล้งให้เสียหายในเรื่องสตรีและสตางค์ เพื่อทำลายศาสนบุคคลระดับนำ เช่น ท่านเจ้าคุณวัดเทพฯ หลวงปู่โง่น ฯลฯ ที่ทำเช่นนั้นเพราะ มีแผนร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 ที่ต้องไม่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ แม้จะมีชาวพุทธ ลงชื่อกว่า 2 ล้าน 3 แสนคน ในขณะที่นายอานันท์ ขู่ว่า ถ้ายอม.. “บัญญัติให้พุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ เลือดจะนองท้องช้าง” เพราะว่ามีผู้ไม่เห็นด้วย 6 แสนคน ในที่สุด 6 แสนเสียงนั้นชนะคน 2 ล้าน??
9. ปี 40 นายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ให้นำพระพุทธรูปออกจากห้องทำงาน และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.อิสลาม อีกหลายมาตรา เช่น จุฬาราชมนตรีมีอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรีไทย
10. มีแผนการใช้เด็กสาวๆ 10-14 ปี จากแม่แจ่ม ซึ่งเป็นหมู่บ้านคริสต์ มาทำลายพระภาวนาพุทโธ ด้วยหลักฐานเท็จ พยานเท็จ ศาลตัดสินจำคุกท่าน 150 ปี ซึ่งปกติคดีแบบนี้ ลงโทษกันไม่เกิน 5 ปี เท่านั้น
11. ปี 42 เรามีประธานกรรมาธิการศาสนาฯ ชื่อ พล.เอกปรีชา โรจนเสน เข้ามาเพื่อออกกฎหมาย “ล้วงย่ามพระ” และ “ฆราวาสปกครองพระ” ในรัฐบาลชวน 2 เพื่อควบคุมพระสงฆ์และการสร้างพุทธศาสนสถาน รวมถึงการเข้าไปบริหารพุทธศาสนสมบัติทั้งหมด และกฎหมายส่งเสริมอิสลามอีกหลายฉบับ กฎหมายเหล่านี้รอ สว. ลากตั้ง ปี 51 ผ่านให้ เขาจึงต้องสร้างคดีใหญ่เรื่องธรรมกายขึ้นมา
12. การเขย่าศรัทธาชาวพุทธจึงต้องแรงสุดขีด ปี 41-45 จึงต้องเชือดธรรมกาย หวังโค่นล้มพุทธศาสนา ชนิดถอนรากถอนโคน โชคดีที่พระพรหมโมลี ประธานพิจารณา “นิคคหกรรม” ใช้เวลาเพียง 2 เดือน โดยยึดหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตัดสินคดีธรรมกายพ้นผิด นายสมศักดิ์ จึงไล่ท่านออกจากกรรมการ ม.ส.
13. เท่านั้นไม่พอ ปี 43 พระพรหมโมลี ถูกวางยาพิษมรณภาพ ขณะปฏิบัติศาสนกิจในพม่า
14. พ.ร.บ. ปฏิรูปการศึกษา ที่คนไทยหลงดีใจว่าลูกหลานจะฉลาดขึ้นนั้น เกิดจากน้ำมือของคริสต์-อิสลามร่วมมือกันเขียนขึ้นมา ประธาน คือ ดร.กีรติ บุญเจือ (คาธอลิค) รองประธาน คือ ดร. เกษม (อิสลาม) เจตนาที่แท้จริง คือ กำจัดศาสนทายาทออกไป เนื่องจากเด็กจบ ป. 6 มีโอกาสบวชยาวมากกว่าเด็กจบ ม. 3 ผ.อ. ทุกโรงเรียน ให้ความร่วมมือดี เพราะได้ประโยชน์จากตำแหน่งและงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ตามสึกสามเณรมาเข้าโรงเรียน สามเณรจึงหายไปกว่า 90% วัดวาอารามในต่างจังหวัด จึงเหลือแต่หลวงปู่-หลวงตา คนเข้าวัดก็เหลือคุณย่า-คุณยาย ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ต้องทำอะไร อีกไม่นานพุทธศาสนาก็ล้มเอง... แต่มันต้องเร่งให้เสร็จใน 10 ปี
15. ปี 43 รัฐบาลชวน 2 ทวงหนี้ค่าสัมปทานไอทีวี 2 หมื่นล้านบาท จากนั้นเกิดคดีพระแต่งเครื่องแบบนายทหาร ขับเบ็นซ์พาสาวเที่ยวและค้างคืน ที่หมู่บ้านแถวบางบัวทอง ออกข่าวทุกชั่วโมง แรมเดือน ขณะถ่ายทำละครเรื่องนี้ มีการถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมไปให้ผู้ว่าจ้างในต่างแดน จนฝ่ายข่าวทหารเปิดโปงไอทีวี เรื่องนี้จึงเงียบไป พร้อมกับที่รัฐบาลเลิกทวงหนี้ 2 หมื่นล้านบาทนั้น
16. ปี 45 พรบ.ธนาคารอิสลาม เกิดขึ้นด้วยเงินชาวไทยกว่า 1000 ล้านบาท การดำเนินงานขาดทุนทุกปี
17. “Time” หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของโลก เปิดโปงแผน Dream State ที่อิสลามหวังยึดครองประเทศไทย โดยรุกทางการเมืองจากภาคใต้ ขยายผลให้มีการเลือกพรรคของตนใน กทม. และภาคตะวันออก โดยสนับสนุนการเงินผ่านธนาคารอิสลาม แล้วใช้ ASTV ปลุกปั่นคนไทยให้ฆ่ากันเอง ได้ผลดีกว่าที่คาด
18. 3 ม.ค. 47 การปล้นอาวุธจากกองทัพจึงเกิดขึ้น ขบวนการล่าหัวชาวพุทธเกิดตามมาอย่างถี่ยิบ ทั้งครู ตำรวจ ทหาร ประชาชน แม้แต่พระสงฆ์สามเณร ถูกฆ่าตายรายวันอย่างทารุณ ก่อวินาศกรรมทุกพื้นที่ โรงเรียนและหมู่บ้านชาวพุทธถูกเผาเป็นว่าเล่น สูญเสียงบประมาณหลายแสนล้านบาท ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้ แถมยังส่งเสริมฝ่ายตรงข้ามให้ฮึกเหิมยิ่งขึ้น ด้วยการปล่อยตัวผู้ก่อการร้ายทั้งหมด และฟื้น ศอ.บต. 2
19. การกลับมามีอำนาจของอมาตยาธิปไตย ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาของการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง แต่แท้จริงแล้ว.. มันคือขั้นตอนการปฏิบัติการไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีการควบคุมอย่างใกล้ชิด
20. การขยายมัสยิดไปทุกจังหวัด ทุกอำเภอ ทุกตำบล ที่ต้องทำให้เสร็จภายในปี 2557 จึงสามารถเร่งเวลาให้เร็วขึ้นได้ ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าเร็วเกินคาด เพราะประชาชนให้ความร่วมมือมากขึ้นในทุกภูมิภาค ทั้งกลุ่มเสื้อแดงก็ไม่กล้าต่อต้านอำนาจกระบอกปืน ที่ฆ่ากันจริงๆ ตั้งแต่วันสงกรานต์ 13 เม.ย. 2552 เป็นต้นมา พระยังถูกฆ่าตายหลังจากที่ ม.ส. ประท้วง กรณี ส.ส. รัฐบาล ขอแก้ พรบ.ปกครองสงฆ์มาตรา 29 ให้อำนาจนายอำเภอจับพระสึกได้อีกชั้นหนึ่ง เนื่องจากมีนายอำเภอมุสลิมนับร้อย พร้อมใช้อำนาจนี้แล้ว
21. กฎหมายอิสลามอีกหลายๆ ฉบับ ตบเท้าทยอยกันออกมาอย่างรวดเร็ว เช่น พรบ.บริหารองค์กรอิสลาม พรบ. กิจการฮัจญ์ พรบ.อาหารฮาลาล พรบ.ปัตตานีมหานคร ที่ขยายผลมาจาก ศอ.บต. 2 รวม 5 จังหวัด ภายใต้นโยบายการปกครองพิเศษตามระบบอิสลาม พรบ.การเงินชุมชนในระบบอิสลาม (Islam Micro Credit) พรบ.ครอบครัวและมรดกระบบอิสลาม พรบ.การจัดตั้งสภาซูรอ พรบ.การจัดตั้งศาลชารีอะห์ ซึ่งใช้บังคับคนไทยทุกคนที่เกิดคดีความกับมุสลิม นับเป็นการกระทำที่เตรียมยกระดับไทยขึ้นเป็นประเทศอิสลาม ถึงกับมีการตั้งชื่อประเทศ “สยามมุสลิม” ที่พร้อมประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ ฯลฯ
22. เม็ดเงินหลายหมื่นล้านบาท โอนผ่านธนาคารอิสลาม เพื่อใช้ซื้อที่ดินนับล้านๆ ไร่ ในทุกภูมิภาคของไทย หลายพื้นที่กำลังเร่งรีบปลูกยางพาราและข้าว จน พตอ.ทวี สอดส่อง ผ.อ.ดีเอสไอ ตรวจสอบพบและแถลงข่าวผ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 4 ส.ค. 52 จึงต้องถูกย้ายทันที
23. การจัดตั้งพรรคการเมืองอิสลาม จึงถูกประกาศอย่างโจ่งแจ้ง มีกรรมการบริหารพรรคที่มีชาวพุทธร่วมด้วย โดยไม่ได้ตระหนักถึงภัยที่เขามุ่งกลืนชาติไทยของตนอย่างเลือดเย็น เพียงเห็นแก่เม็ดเงินที่โอนผ่านธนาคารอิสลามเข้ามาจำนวนมาก เช่น เดียวกับพรรคไทยไม่ภูมิใจ ที่รับเงินไปแล้วกว่า 2 หมื่นล้านบาท??
24. ไม่เพียงนำเข้าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเท่านั้น ยังมีการอพยพมุสลิมจากอาเจะห์-อินโดนีเซีย จำนวนนับ 10 ล้านคน กระจายเข้าไปอยู่ทุกจังหวัด เพื่อทำตามแผนการ พรบ.การเงินชุมชนอิสลาม ที่มุสลิมเท่านั้นมีอำนาจบริหารจัดการ โดยคนไทยอาจเป็นสมาชิกได้ภายใต้กฎกติกาของเขา ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามในโอกาสต่อไป เราจึงเห็นมัสยิดผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในทุกจังหวัด ด้วยเงินงบประมาณของชาวพุทธ ดังที่นายดำรง พุฒตาล นำมาแถลงในรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง
25. หลายจังหวัดที่มีผู้ว่า-นายอำเภอมุสลิม ให้ชาวมุสลิมเช่าวัดร้างนับแสนไร่ เพื่อปลูกยาง พารา 30 ปี
แล้วเราจะแก้ไขวิกฤตการณ์นี้ได้อย่างไร?? ก็ต้องดูว่าเขาเข้ามาช่องทางไหน ก็ให้เขากลับไปทางช่องนั้น... นั่นคือ กฎหมายตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 50 ถึงกฎหมายอิสลามทุกฉบับ ที่สำคัญคือเลิกทะเลาะกันเองเสียที? แล้วเลือกผู้นำที่ถูกต้อง ไม่ยอมให้ใครหรืออะไร มาครอบงำเราได้ง่ายๆ ถ้าไม่ทำก็ต้องเป็นทาสเขาล่ะ.. ลองศึกษาประวัติศาสตร์ยุคพระนารายณ์มหาราชดูเถอะ.. ท่านพัฒนาคนให้มีคุณภาพด้วยธรรมะ จากการบวช-เรียน
http://board.palungjit.com/ได้ข้อมูลดังนี้มาค่ะ-222799.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)